ไขมัน คืออะไร ? ทำความเข้าใจเกี่ยวกับไขมันในร่างกาย
ไขมัน คือส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ปกติ แต่ถ้าสะสมมากเกินไป ก็อาจส่งผลต่อรูปร่างและสุขภาพได้ครับ จึงมีหลายคนกังวลกับไขมันส่วนเกินตามแก้ม เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน หรือต้นขา เพราะทำให้ไม่มั่นใจเวลาแต่งตัวหรือถ่ายรูป
ในบทความนี้หมอจะมาแนะนำทั้งหัตถการลดไขมันแบบเร่งด่วน และวิธีลดไขมันด้วยตัวเอง พร้อมอธิบายสาเหตุของการสะสม ไขมัน เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดครับ
สารบัญ ไขมัน คือ
ไขมัน คืออะไร ? รู้จักไขมันในร่างกาย มีกี่ประเภท ?
ไขมัน คือ ไขมันที่ร่างกายใช้เป็นแหล่งพลังงาน และมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การผลิตฮอร์โมน การดูดซึมวิตามิน และการรักษาอุณหภูมิของร่างกายครับ
ในร่างกายเราจะแบ่งเซลล์ไขมันออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ ไขมันสีขาว ไขมันสีน้ำตาล และไขมันเบจ ซึ่งแต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างกัน
- ไขมันสีขาว หรือ White adipose tissue (WAT)
เป็นไขมันที่พบมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สะสมพลังงานและผลิตฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญ ไขมันชนิดนี้ช่วยรองรับอวัยวะภายในและรักษาความอบอุ่นของร่างกาย แต่หากสะสมมากเกินไป อาจกลายเป็นไขมันส่วนเกิน ทำให้มีหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขาใหญ่ขึ้นได้ครับ
- ไขมันสีน้ำตาล หรือ Brown adipose tissue (BAT)
เป็นไขมันชนิดดีที่ช่วยเผาผลาญพลังงานเพื่อสร้างความร้อน ทำให้ร่างกายอบอุ่น และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ มักพบในบริเวณลำคอ อก และไหล่ โดยจะมีมากในวัยเด็ก และลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบเผาผลาญช้าลงครับ คนที่มีไขมันสีน้ำตาลมาก มักมีระบบเผาผลาญที่ดีกว่า และสุขภาพแข็งแรงกว่าครับ
- ไขมันเบจ หรือ Beige adipose tissue (BAT+)
เป็นไขมันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของไขมันสีขาวบางส่วน ให้มีคุณสมบัติคล้ายไขมันสีน้ำตาล สามารถเผาผลาญพลังงานเพื่อสร้างความร้อนได้ มีข้อมูลว่าการออกกำลังกาย การสัมผัสอากาศเย็น หรือการกระตุ้นจากฮอร์โมนบางชนิด จะช่วยเพิ่มไขมันชนิดนี้ในร่างกายได้ครับ
ข้อควรรู้ : การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นให้ไขมันสีขาวบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันเบจ (Beige ไขมัน) สามารถเผาผลาญพลังงาน และสร้างความร้อนให้ร่างกายได้ จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมการออกกำลังกายจึงช่วยลดไขมันและส่งผลดีต่อสุขภาพนั่นเองครับ
ไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย เกิดจากอะไร ?
ไขมันส่วนเกิน คือไขมันที่เกิดจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป และใช้ไม่หมด ทำให้พลังงานส่วนเกินถูกสะสมเป็นไขมันตามจุดต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และเหนียง โดยเฉพาะจากอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันครับ
จนกลายเป็นไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ ในร่างกาย
ปัจจัยที่ทำให้ไขมันสะสมง่ายขึ้น ได้แก่
- รับพลังงานเกินความจำเป็น : กินอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่เผาผลาญไม่หมด
- ขาดการเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย : ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง
- อายุที่เพิ่มขึ้น : ระบบเผาผลาญทำงานช้าลงตามวัย
- ระดับฮอร์โมน : มีผลต่อการสะสมไขมัน เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนและอินซูลิน
- พันธุกรรม : บางคนมีแนวโน้มสะสมไขมันได้ง่ายกว่าคนอื่น
แม้ปัจจัยเหล่านี้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของไขมันส่วนเกิน แต่ก็มีผลต่อระบบเผาผลาญและการจัดการพลังงานของร่างกาย ทำให้บางคนลดไขมันได้ยากกว่าครับ
การสะสมของ ไขมัน ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร ?
การมีแฟต (Fat) หรือไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกายไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องรูปร่าง แต่ยังอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ครับ
ไขมันส่วนเกินที่พบได้ในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละชนิดส่งผลกระทบต่อร่างกายแตกต่างกันไป
- ไขมันในหลอดเลือด
เกิดจากคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ที่สะสมในหลอดเลือด โดยเฉพาะจากอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เมื่อสะสมเป็นเวลานาน จะเกิดคราบพลัค (Plaque) ที่ทำให้หลอดเลือดตีบและไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดสมองอุดตัน และภาวะหัวใจขาดเลือดได้ครับ
- ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง
สะสมอยู่ตามจุดต่าง ๆ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา แก้ม และลำคอ มีผลต่อรูปร่างโดยตรง แม้จะไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน แต่หากมีมากเกินไป อาจบ่งบอกถึงโรคอ้วนหรือระบบเผาผลาญที่ผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อความมั่นใจในรูปร่างได้ครับ
คลิกอ่านเพิ่มเติม : ต้นแขนใหญ่ เกิดจากอะไร ? แก้ไขอย่างไร ? แนะนำวิธีลดแขนใหญ่เร่งด่วน
- ไขมันในช่องท้อง
ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat คือไขมันที่สะสมรอบ ๆ อวัยวะภายใน เช่น ตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้ แม้มองไม่เห็นจากภายนอก แต่เป็นไขมันที่อันตรายที่สุด เพราะหากมีมากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอาจรุนแรงถึงภาวะเสียชีวิตฉับพลันได้ครับ
4 วิธีลดไขมันแบบเร่งด่วน เห็นผลเร็ว
หลายคนที่มีไขมันสะสม หรือต้องการลดเอวเร่งด่วน อาจไม่มีเวลาควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด วิธีลดไขมันแบบเร่งด่วน ด้วยเครื่องมือหรือหัตถการต่าง ๆ จึงเป็นตัวช่วยที่เห็นผลเร็วและช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฉีด Meso Fat (เมโสแฟต)
Meso Fat คือวิธีที่ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด โดยใช้ตัวยาที่มีฤทธิ์ช่วยสลายไขมันฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ เช่น ฉีดแฟตแก้มเพื่อลดแก้มให้เรียวเล็กลง หรือเมโสแฟตเหนียงเพื่อลดไขมันใต้คาง ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
ทั้งยังสามารถฉีดเมโสแฟตต้นขา เพื่อลดไขมันบริเวณต้นขาให้กระชับมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีไขมันสะสมบางจุดที่ลดได้ยาก
ในบางคน หลังฉีดเมโสแฟตหน้าบวมมาก ไม่ต้องตกใจไปนะครับ เพราะเป็นอาการปกติที่เกิดจากตัวยากำลังเริ่มออกฤทธิ์และกระจายตัวไปสลายไขมัน จะค่อย ๆ ยุบลงเองภายใน 3-4 ชั่วโมงครับ
ทั้งนี้ การฉีด Meso Fat เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด แต่หากมีไขมันสะสมเป็นจำนวนมาก หมอแนะนำว่าการทำ Coolsculpting อาจเป็นตัวเลือกที่เห็นผลได้ชัดเจนและเร็วกว่า เนื่องจากสามารถลดไขมันได้มากกว่าภายในครั้งเดียวครับ
หมอเขียนอธิบายเกี่ยวกับการฉีดเมโสแฟต ไว้ในบทความ ฉีดสลายไขมันบนใบหน้า เลือกเมโสแฟตยี่ห้อไหนดีที่สุด แต่ละยี่ห้อต่างกันอย่างไร ? สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ครับ
Coolsculpting สลายไขมัน
Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างถาวรโดยใช้ความเย็นในระดับ -11°C เพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมัน และทำให้เซลล์เหล่านั้นตายไปตามธรรมชาติ เป็นการลดจำนวนเซลล์ไขมันโดยตรง ทำให้บริเวณที่มีไขมัน สะสมลดลงอย่างถาวร ต่างจากการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย ที่ทำให้เซลล์ไขมันหดตัวแต่ไม่หายไป
โดยกระบวนการทำงานเริ่มจากการดูดเนื้อเยื่อไขมันขึ้นมา และปล่อยความเย็นคงที่เป็นเวลาประมาณ 35 นาที เมื่อเซลล์ไขมันถูกแช่แข็งจนตาย ร่างกายจะค่อย ๆ กำจัดออกผ่านระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะเริ่มเห็นผลภายใน 1 เดือน และชัดเจนเต็มที่ใน 3 เดือน หากต้องการลดเพิ่ม สามารถทำซ้ำบริเวณเดิมได้เมื่อผ่านไป 1 เดือน
Coolsculpting เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ หมอแนะนำว่าสำหรับคนที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้วแต่ยังมีไขมันสะสมบางจุดที่ลดได้ยาก วิธีนี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเพื่อให้ได้รูปร่างที่กระชับมากขึ้นครับ
Thermage FLX
Thermage FLX ช่วยยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน และสลายไขมันสะสม สามารถทำได้ทั้งบริเวณใบหน้า รอบดวงตา และลำตัว โดยแพทย์จะเลือกใช้หัวเครื่องมือที่เหมาะสมกับแต่ละจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
สำหรับบริเวณใบหน้า เหนียง และลำคอ จะใช้ Thermage Total Tip 4 cm² ซึ่งเป็นหัวสีม่วง ออกแบบมาเพื่อช่วยยกกระชับและเก็บกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ส่วนบริเวณลำตัว เช่น หน้าท้อง ต้นแขน และต้นขา จะใช้ Thermage Body Tip 16 cm² หัวขนาดใหญ่สีส้ม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนักแล้วผิวยังไม่กระชับ หรือคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้นครับ
ผ่าตัดดูดไขมัน
การดูดไขมันเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยใช้เครื่องมือดูดไขมันออกจากร่างกายผ่านแผลขนาดเล็ก นิยมทำบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เอว สะโพก หลัง คาง และเหนียง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมันปริมาณมากและปรับรูปร่างให้ดูสมส่วนขึ้นครับ
แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เห็นผลเร็ว แต่การดูดไขมันถือเป็นการผ่าตัดเล็ก ที่ต้องฉีดยาชาปริมาณมาก และในบางกรณีอาจต้องใช้ยาสลบ หลังทำอาจมีอาการบวมช้ำ ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน และมีความเสี่ยงจากการผ่าตัด หากกังวลเรื่องความเจ็บหรือไม่อยากมีแผล วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดอย่างฉีดเมโสแฟต Coolsculpting อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าครับ
6 วิธีลดไขมันด้วยตัวเองแบบธรรมชาติ
นอกจากการทำหัตถการ ยังมีวิธีลดไขมันแบบธรรมชาติที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหลัก ๆ เป็นการปรับพฤติกรรม ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ
ถึงแม้จะต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ แต่ถ้าทำต่อเนื่องควบคู่กันไปกับการทำหัตถการข้างต้น ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น รูปร่างกระชับ และสุขภาพแข็งแรงขึ้นในระยะยาวครับ
ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
การคาร์ดิโอ (Cardio) ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ กระตุ้นให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือกระโดดเชือก การออกกำลังกายแบบนี้อย่างน้อย 30-45 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3-5 วัน จะช่วยลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ควบคุมอาหาร
การควบคุมอาหารช่วยลดการสะสมของไขมัน แต่หมอไม่แนะนำให้อดอาหาร เพราะร่างกายยังต้องการพลังงานวันละ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี ควรกินให้ครบ 3 มื้อ เน้น โปรตีนไขมันต่ำ เช่น อกไก่ เนื้อปลา เต้าหู้ เพิ่มผักผลไม้ ลดของทอด อาหารมัน และน้ำตาลจากขนมและเครื่องดื่มหวาน ๆ ที่สำคัญ ควบคุมอาหารอย่างเดียวไม่พอ ต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยครับ
ทำ IF (Intermittent Fasting)
IF คือการจำกัดช่วงเวลากินและอดอาหาร เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน โดยรูปแบบที่นิยมคือ 16/8 (อด 16 ชั่วโมง กิน 8 ชั่วโมง) ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ 3.6-14% ลดไขมันในช่องท้องและไขมันในเลือดได้ดี แต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานหรือคนที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าสนใจลองทำ ควรศึกษาข้อมูล หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนครับ
ดื่มน้ำมาก ๆ
การดื่มน้ำช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ควรดื่มวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร น้ำช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ลดการสะสมของไขมัน และช่วยลดความอยากอาหาร ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารยังช่วยให้กินได้น้อยลง ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้นด้วยครับ
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนมีผลต่อระบบเผาผลาญโดยตรง ขณะนอน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ช่วยลดความอยากอาหาร แต่ถ้านอนน้อย ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) จะเพิ่มขึ้น ทำให้หิวบ่อย กินเยอะขึ้น และเสี่ยงต่อการสะสมไขมัน ควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อรักษาสมดุลของฮอร์โมนและช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้นครับ
ลดความเครียด
ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งกระตุ้นความอยากอาหาร โดยเฉพาะของหวานและอาหารที่มีแป้งมาก ๆ ทำให้ไขมันสะสมเพิ่มขึ้น การลดความเครียดช่วยให้ร่างกายเผาผลาญดีขึ้น ลองหาวิธีผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ ฟังเพลง ดูหนัง หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ จะช่วยให้ร่างกายกลับสู่สมดุล เมื่อเครียดน้อยลง ระบบเผาผลาญก็จะดีขึ้นครับ
สรุป ไขมัน คืออะไร ? ใช้วิธีไหนลดไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย ?
ไขมัน คือ ไขมันที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย แต่หากมีไขมันสะสมมากเกินไป โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือเหนียง อาจส่งผลต่อรูปร่างและสุขภาพได้ครับ
การลดไขมันทำได้ทั้งลดด้วยตัวเอง เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรม หรือวิธีเร่งด่วน ลดไขมันด้วยหัตถการต่าง ๆ เช่น Coolsculpting, Meso Fat, Thermage หรือ การดูดไขมัน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน
เลือกวิธีไหนดีที่สุด ? ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ต้องการลดและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล หากไม่แน่ใจว่าควรเลือกวิธีไหน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการลดไขมันที่ปลอดภัยและเห็นผลครับ
อ้างอิง
- Aesla. (2020, July 23). รู้จักกับไขมันในร่างกาย.
https://aesla.com/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/ - Christine Yu. (2024, October 30). What You Need to Know About Body Fat. WebMD.
https://www.webmd.com/diet/features/the-truth-about-fat/