Coolsculpting
ไขมันส่วนเกินมักจะเป็นปัญหาที่อยู่ในใจของคนส่วนใหญ่เสมอ ไม่ว่าหญิงหรือชาย แม้ว่าจะพยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ก็มักจะมีไขมันส่วนเกินบางจุดที่ลดไม่ลง ในบทความนี้หมอจะอธิบาย ข้อดี-ข้อเสีย ของการสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้ครับ
สารบัญ Coolsculpting
การเข้าฟิตเนส
เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดสัดส่วน และช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย หลักการคือเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อช่วยให้เราสามารถเผาผลาญ Metabolism ในแต่ละวันได้มากขึ้น ร่วมกับการควบคุมอาหาร ร่างกายก็จะไปดึงไขมันที่เก็บสะสมตามส่วนต่าง ๆ มาใช้ ทำให้ไขมันส่วนเกินลดลง แต่บางคนก็อาจพบปัญหาว่าหลังจากลดสัดส่วนด้วยการฟิตเนสแล้ว ผิวยังไม่กระชับ หรืออาจจะมีไขมันส่วนเกินในบางจุดที่สลายออกยากมาก ๆ ก็สามารถใช้ตัวช่วยวิธีต่าง ๆ ได้ ตามที่จะอธิบายในข้อต่อ ๆ ไปครับ
เครื่องนวดยกกระชับของสถาบันลดสัดส่วน,ลดน้ำหนัก
เครื่องมือในการลดสัดส่วนที่ได้ผลนั้น จะต้องผ่านงานวิจัยทางการแพทย์และจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่มีการควบคุมพิเศษ แต่สถาบันลดสัดส่วนเหล่านี้ส่วนมากมักจะไม่มีแพทย์ประจำ และไม่ได้จดทะเบียนเป็นคลินิกเวชกรรม จึงไม่สามารถใช้เครื่องมือแพทย์ได้
เครื่องมือต่าง ๆ ที่สถาบันเหล่านี้ใช้จึงมักเป็นแค่การนวดร้อน-เย็น, RF(Radio-Frequency) อ่อน ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดผลในระยะยาว มีเพียงความกระชับที่เกิดจากการบวมของเนื้อเยื่อหรือการรีดน้ำออกเพียงชั่วคราวในระยะ 3-7 วันเท่านั้น สังเกตว่าการทำเครื่องมือกระชับสัดส่วนของสถาบันเหล่านี้พนักงานมักจะต้องนัดให้ไปทำบ่อย ๆ ทุกสัปดาห์จึงจะเห็นผล และพอหยุดทำก็จะคืนสภาพเดิม แทบจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงหากน้ำหนักไม่ลดลง
ตัวอย่างเครื่องนวดยกกระชับที่ใช้คลื่น Ultrasonic และ RF(Radio-Frequency) อ่อน ๆ ที่มักจะพบตามสถานบันลดสัดส่วนที่ไม่ใช่คลินิก
ซึ่งสถาบันเหล่านี้ส่วนมากมักจะเน้นไปที่จิตวิทยาการแนะนำการควบคุมอาหารควบคู่กันมากกว่า ซึ่งหากคนไข้มีวินัยและปฏิบัติตามคำแนะนำควบคุมอาหารได้ดี จึงจะเห็นผลดีในการลดสัดส่วน เหมาะสำหรับคนที่อยากได้คำแนะนำในการควบคุมอาหารลดน้ำหนัก
การดูดไขมันแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร ?
เครื่องมือที่นิยมใช้ในการดูดไขมันมีหลายยี่ห้อดังนี้
เครื่องดูดไขมันทั้ง 4 เครื่องนี้ มีหลักการคือใช้พลังงานที่แตกต่างกันในการทำให้ก้อนไขมันแตกตัว และดูดออกมาจากร่างกาย ซึ่งแต่ละวิธีมี ข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกัน ดังนี้
การใช้คลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุในการดูดไขมัน จะช่วยกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณที่ดูดไขมันหดตัวกระชับขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ ลดโอกาสเกิดความหย่อนคล้อยหลังจากที่ดูดไขมันออกไป
แต่ข้อเสียคือจะบวมช้ำมากขึ้นและต้องพักฟื้นนานขึ้นอาจนานจะเกิน 1 เดือน และเซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีนี้ถ้านำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามส่วนอื่นๆ มักจะได้เซลล์ที่ไม่แข็งแรงและปลูกไม่ติด
อ่านบทความเพิ่มเติม : ข้อดี-ข้อเสียของการเติมไขมัน vs ฟิลเลอร์ สามารถอ่านได้จากบทความนี้ครับ CoolSculpting ที่ไหนดี สลายไขมันด้วยความเย็น ลดง่ายได้ทุกสัดส่วน
การใช้แรงดันน้ำหรือแรงสั่นในการดูดไขมัน จะบวมช้ำน้อยกว่า ปวดระบมน้อยกว่า ใช้เวลาในการพักฟื้น 3-4 สัปดาห์ และเซลล์ไขมันที่ได้จากการดูดด้วยวิธีนี้ถ้านำไปฉีดเพื่อเติมเต็มตามส่วนอื่น ๆ มักจะได้เซลล์ไขมันที่แข็งแรง และเพิ่มโอกาสในการปลูกติดได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับเทคนิคอื่น ๆ ที่ใช้ในเก็บเซลล์ไขมันและเทคนิคการฉีดด้วยที่มีผลต่อ % การปลูกติด แต่ข้อเสียของการดูดไขมันด้วยวิธีนี้คือหลังจากยุบบวมผิวบริเวณที่ดูดไขมันจะขาดความกระชับ อาจจะต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยกระชับผิวช่วยต่ออีกที
การดูดไขมัน ราคาประมาณ 50,000-100,000 บาท ขึ้นกับเครื่องที่ใช้ดูดไขมันและจำนวนจุด
ข้อควรรู้ก่อนดูดไขมัน
ท่อที่ใช้ดูดไขมันนั้นจะต้องมีเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 3 mm และต้องฉีดยาชาปริมาณมากในบริเวณที่ดูดไขมัน จึงจำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ที่ชำนาญเท่านั้น (การวางยาสลบไม่เป็นที่นิยมเพราะมีความเสี่ยงสูงกว่าการฉีดยาชา)
หลังทำจะเกิดรอยบวมช้ำค่อนข้างเยอะ เกิดจากการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยขณะที่สอดท่อเข้าไปเพื่อดูดไขมันตามจุดต่าง ๆ ต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือนหลังทำ เพื่อให้อาการปวดระบมและอาการบวมดีขึ้น
หลังทำมักจะพบปัญหาผิวไม่เรียบในบริเวณที่ดูดไขมันได้ ซึ่งเกิดจากความบอบช้ำของเนื้อเยื่อจากการสอดท่อดูดไขมัน หรืออาจจะเกิดจากแนวในการสอดท่อดูดไขมันที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งผิวไม่เรียบนี้หากเกิดขึ้นมักจะคงอยู่ถาวรไม่สามารถแก้ไขให้หาย 100% ได้
อาจมีรอยแผลสำหรับสอดท่อดูดไขมันขนาด 3 mm ตามจุดที่ดูดบริเวณละ 1-2 จุด
แม้ว่าจะดูดไขมันออกไปแล้ว แต่หากไม่ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไขมันก็สามารถกลับมาสะสมได้ใหม่ หมอไม่แนะนำให้ดูดไขมันซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ เนื่องจากจะเกิดผังผืดใต้ผิวทำให้ผิวไม่เรียบและจะยิ่งบวมช้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทำหลาย ๆ ครั้ง
การดูดไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันปริมาณเยอะ ๆ (BMI > 35) เท่านั้น สำหรับผู้ที่ไขมันน้อยกว่านี้แนะนำว่าควรเลือกใช้วิธีที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียในระยะยาวดีกว่าครับ
การฉีดเมโสแฟตเพื่อลดสัดส่วน
เป็นการใช้สารต่าง ๆ ที่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถออกฤทธิ์ในการ สลายเซลล์ไขมัน ฉีดเข้าตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด ซึ่งมักจะหวังผลได้ไม่แน่นอน และอาจจะเห็นผลไม่ชัดเจน เนื่องจากการออกฤทธิ์ของตัวยานั้นขึ้นกับปัจจัยของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนฉีดเมโสแฟตแล้วเห็นผลดีมาก บางคนไม่เห็นผล
ราคาประมาณ 5000 บาท / เมโสแฟต 40 cc ครอบคลุมพื้นที่ 1 ฝ่ามือ ซึ่งการฉีดเมโสแฟตราคาค่อนข้างถูกกว่าวิธีอื่น สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดอาจจะทดลองใช้วิธีนี้ก่อน หากเห็นผลดีก็จะช่วยประหยัดเงินได้
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดเมโสแฟตสลายไขมัน สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความ เมโสแฟต คืออะไร? อันตรายไหม? ต่างจากโบท็อกอย่างไร? อันไหนดีกว่า?
Coolsculpting ฆ่าเซลล์ไขมันด้วยจุดเยือกแข็ง
Coolsculpting คือ การสลายไขมันด้วยความเย็น โดยใช้หัวดูดผิวเพื่อดึงชั้นไขมันเข้ามาไว้ในหัวของเครื่อง คล้าย ๆ เราหยิกไขมันที่พุงขึ้นมา ซึ่งในหัวดูดจะปล่อยความเย็น -11 °C แช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมานาน 35 นาทีในแต่ละจุด
โดยเทคโนโลยี Coolsculpting สลายไขมันด้วยความเย็น จะไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก ไม่เคยเกิดกรณีเคสผิวไหม้จากความเย็นเลยเนื่องจาก Coolsculpting มีระบบ Freeze detect คือเครื่องจะหยุดทำงานทันทีที่ตรวจเจอความเย็นในผิวชั้นบนที่มากเกินไป ซึ่งในเครื่องเลียนแบบเกรดต่ำยี่ห้ออื่น ๆ มักจะเจอผลข้างเคียงเรื่องผิวไหม้จากความเย็นได้ง่ายครับ
เครื่อง Coolsculpting จะแช่แข็งเฉพาะเซลล์ในชั้นไขมันเท่านั้น เนื่องจากเซลล์ไขมันจะมีพิเศษคือจะไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซล์ชนิดอื่น ๆ (ตัวอย่างเช่นเรานำอาหารที่มีไขมันไปแช่ตู้เย็นธรรมดาส่วนที่เป็นไขมันจะแข็งตัวและแยกชั้นไวมาก) หลังจากที่เซลล์ไขมันถูกแช่แข็งครบเวลา ก็จะใช้การนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันตายและลดจำนวนลงแบบถาวร และจะถูกร่างกายกำจัดออกไปเองตามธรรมชาติ มีงานวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 50 งานวิจัย ที่ยืนยันผลการรักษาว่า Coolsculpting สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนังบริเวณที่ทำได้ โดยสามารถลดลงได้ 25% ต่อการทำ 1 ครั้ง
ภาพแสดงการแช่แข็งเซลล์ไขมันซึ่งไวต่อความเย็นมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ๆ ในผิวหนัง
การสลายไขมันด้วยความเย็น ในช่วง 3-4 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผลว่าสัดส่วนเล็กลง เห็นผลเต็มที่ใช้เวลา 3 เดือน ซึ่งในช่วง 1-2 อาทิตย์แรกหลังทำ จะบวมในจุดที่เซลล์ไขมันมันตายและค้างอยู่ เพราะร่างกายต้องใช้เวลา เพื่อค่อย ๆ ลำเลียงเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไปตามระบบเลือดและระบบน้ำเหลือง ระยะเวลาในการพักฟื้นเนื่องจากอาการปวดระบมคือ 7-10 วัน
จากประสบการณ์ที่หมอเคยลองทำ Coolsculpting ด้วยตัวเอง ตอนที่เจ็บที่สุดคือตอนที่นวดหลังจากแช่แข็งไขมัน(ซึ่งจำเป็นต้องนวดเพื่อให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งตาย หากไม่นวดจะได้ผลน้อยลง 60% ครับ) หลังนวดอาจมีอาการเขียวช้ำได้ในบางเคส อาการปวดระบมในช่วง 7-10 วันหลังทำจะคล้าย ๆ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังกายหนัก ๆ ในจุดที่ทำ Coolsculpting ในช่วง 1-2 อาทิตย์แรกจะมีอาการบวมในจุดที่ทำ และจะมีอาการชาและคันเล็กน้อยในช่วง 1 เดือนแรก จะเริ่มเห็นผลว่าชั้นไขมันยุบลงเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน เห็นผลเต็มที่ใช้เวลา 3 เดือน สามารถทำเพิ่มได้ในจุดเดียวกันเมื่อผ่านไป 1 เดือน
Coolsculpting มีหัวที่ใช้กำจัดไขมันหลายรูปทรงและหลายขนาด สามารถออกแบบรูปทรงในการลดของไขมันได้คล้าย ๆ การปั้น (Sculpting) โดยผู้เชี่ยวชาญจะเป็นคนแนะนำและให้คำปรึกษาในการออกแบบสัดส่วนตามที่คนไข้ต้องการ
ภาพเปรียบเทียบขนาดจริงของหัว CoolSculpting แบบต่าง ๆ
การสลายไขมันด้วยความเย็น ด้วยเครื่อง Coolsculpting ปกติ 1 หนีบจะสลายไขมันออกไปได้ครั้งละประมาณ 60-70 cc ซึ่งการปรับรูปทรงสัดส่วนในเคสส่วนมากมักจะใช้การทำ 2-4 หนีบขึ้นไปจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ราคามาตรฐานของ Coolsculpting อยู่ที่หนีบละ ประมาณ 9,900-12,000 บาท
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสลายไขมันในปริมาณปานกลาง (BMI<35) เพื่อแก้ไขสัดส่วน โดยที่ไม่อยากผ่าตัดดูดไขมัน ไม่อยากได้รับผลข้างเคียงในระยะยาวจากการดูดไขมัน และไม่อยากพักฟื้นนาน ไม่อยากมีแผล
สำหรับเครื่อง CoolSculpting ของ V Square Clinic ตอนนี้มีอยู่ที่สาขาดังนี้ครับ
- สาขา Gateway Ekamai (Bangkok) โทรนัดคิว 099 005 9000
- สาขา สยามสแควร์วัน (Bangkok) โทรนัดคิว 093 110 9000
- สาขา เซ็นทรัลบางนา โทรนัดคิว 099 105 9000
CoolSculpting ที่ V Square Clinic ดีอย่างไร ?
- ดูแลและให้คำแนะนำโดย แพทย์และ Specialist ที่มีประสบการณ์ในการทำ CoolSculpting มานานกว่า 3 ปี
- ห้องที่ทำ CoolSculpting มีขนาดอย่างน้อย 20 ตร.ม. ไม่อึดอัด
- ใช้เก้าอี้ Lazboy รุ่นท็อปรุ่นกว้างพิเศษ เพื่อความสบายสูงสุดของลูกค้าในช่วงเวลาที่ทำหลายชั่วโมง
- เพิ่มเทคนิคพิเศษที่ช่วยให้อาการบวมหลังทำหายไวกว่าปกติ
- การันตีราคาช่วงโปรโมชั่นถูกที่สุดในท้องตลาด โดยไม่มีโปรโมชั่นแอบแฝง
โปรโมชั่นราคา CoolSculpting ที่ V Square Clinic
(1 หนีบ ขนาดประมาณ 1 ฝ่ามือ)
- 1 หนีบ Coolsculpting ราคา 8,500 บาท จากราคาปกติ 9,900.-
- 2 หนีบ Coolsculpting ราคา 17,000 แถม 1 รายการ
- 4 หนีบ Coolsculpting ราคา 34,000 แถม 3 รายการ
- 6 หนีบ Coolsculpting ราคา 51,000 แถม 5 รายการ
- 10 หนีบ Coolsculpting ราคา 85,000 แถม 10 รายการ
Thermage FLX (new!) For Body
เครื่องรุ่นใหม่ล่าสุดของ Thermage คือรุ่น FLX พัฒนาจากรุ่นเก่า CPT คือจะมีเซนเซอร์วัดความร้อนบนผิว (AccuREP) เพื่อควบคุมการปล่อยคลื่น RF (Radio-Frequency) ได้อย่าง optimize มากที่สุดในทุก shot ที่ยิง ทำให้เจ็บน้อยลงโดยที่ได้ผลการรักษาที่มากขึ้น และมีหัวใหญ่สำหรับการกระชับผิวส่วนเกินตามแขนขาหน้าท้อง เหมาะสำหรับจุดที่มีปริมาณไขมันไม่มาก แต่มีผิวหนังส่วนเกินชั้นบนเยอะ เช่น คนที่ลดน้ำหนักแล้วผิวไม่กระชับ คนที่ดูดไขมันแล้วผิวไม่กระชับ หรือคุณแม่หลังคลอด ราคาในการทำ Thermage FLX for body 1 หัวมี 2,000 shot ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4 ผ่ามือ ราคาอยู่ที่ 100,000-150,000 บาท
หัว Thermage จะสามารถกระชับผิวได้ดีมากในผิวชั้นตื้นระดับความลึก 4.3 mm ซึ่งเหมาะกับเคสที่มีปัญหาแบบในรูปตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ
Hifu Macrofocus For Body
เทคโนโลยี Macrofocus ของเครื่อง Hifu ยี่ห้อ Ultraformer III จะมีหัวยิงที่ระดับความลึก 6 mm, 9 mm, 13 mm สำหรับแก้ไขปัญหา Cellulite ที่อยู่ในผิวชั้นลึก ประมาณ 2 cm ราคาในการทำ Hifu Macrofocus(Ultraformer III) For Body 1,000 line ครอบคลุมพื้นที่ 2 ผ่ามือ ราคา 25,000-40,000 บาท
เหมาะกับคนที่ชั้นไขมันไม่มาก แต่มีความหย่อนคล้อยที่มีปัญหามาจากผิวชั้นลึกประมาณ 2 cm
Hifu ธรรมดา VS Hifu macrofocus ต่างกันอย่างไร สามารถอ่านได้จากบทความนี้ครับ
สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวช่วยในการลดสัดส่วนด้วยวิธีต่าง ๆ และการสลายไขมัน แบบไหนดี สามารถปรึกษาแพทย์ได้ฟรีครับ หมอจะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำอย่างตรงจุด
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ