ร้อยไหม
ร้อยไหม คือใช้เข็มนำเส้นไหมละลายที่มีเงี่ยงสอดลงในชั้นผิวหนัง เมื่อเวลาผ่านไป 6-18 เดือนเส้นไหมก็จะละลายไปโดยไม่เป็นอันตราย หากร้อยด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะเกิดเป็นเส้นไยอิลาสตินช่วยประคองผิว โดยจะมีจุดที่ดึงบริเวณแก้มส่วนล่างและจุดที่ยึดอยู่บริเวณขมับดึงเข้าหากันจึงสามารถดึงแก้มที่หย่อนขึ้นได้ทันที ผิวก็จะถูกเงี่ยงเกี่ยวขึ้นมาตามเส้นไหมในทิศทางที่ร้อยไหมเข้าไป คล้าย ๆ ตะขอเกี่ยว ในบทความนี้จะกล่าวถึง ข้อดี-ข้อเสีย ของการร้อยไหม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้และการเลือกชนิดเส้นไหมให้เหมาะกับหน้าของแต่ละคน
สำหรับคนที่กำลังหาว่าจะร้อยไหมที่ไหนดี ที่คลินิกไหนดี ก็ควรเลือกแพทย์ที่ชำนาญ คลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ผลออกมาดูเป็นธรรมชาติ และไม่มีผลข้างเคียงครับ
รวบรวมคำถามล่าสุด เกี่ยวกับการร้อยไหม
1. ร้อยไหม มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร ?
No. | ข้อเสีย | ข้อดี |
---|---|---|
1. | บนเส้นไหมจะมีเงี่ยงที่ทำหน้าที่คล้ายตะขอสำหรับดึงผิวไปในทิศที่ต้องการ ถ้าร้อยไหมด้วยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องหรือร้อยตื้นเกินไป จะเกิดรอยบุ๋มขึ้นตามแนวที่ร้อยไหมได้ | เงี่ยงไหมที่คล้ายตะขอจะเกี่ยวดึงผิวขึ้นได้ทันที หลังร้อยไหมเห็นผลได้ทันที |
2. | เส้นไหมจะกระตุ้นให้ fibroblast (เซลล์สร้างคอลลาเจน) เกิดการสร้างเส้นใย collagen และ Elastin แต่ถ้าซ้อนทับกันมากเกินไป และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องก็จะเรียกว่า ผังผืด (fibrosis) ถ้าอยู่ในผิวชั้นตื้นเกินไป ก็จะดึงรั้งผิวให้ผิดรูปได้ | เส้นใยดังกล้าว ถ้าอยู่ในแนวที่ถูกต้อง และชั้นผิวที่เหมาะสม ก็จะสามารถช่วยประคองผิว กระชับผิว คล้าย ๆ เส้นเอ็นที่อยู่บนใบหน้าตามธรรมชาติ |
3. |
ไหมละลายมีอาย 4 เดือน-2 ปี ขึ้นกับชนิดของเส้นไหม แต่ถึงแม้ไหมจะยังละลายไม่หมด ในคนส่วนมาก เมื่อเวลาผ่านไป 6-8เดือน ผิวก็จะหลุดออกจากเส้นไหมได้ก่อน ทำให้ผลอยู่ได้ไม่นานเท่าตามที่โฆษณา และไหมละลายบางชนิดที่อยู่ได้นาน แต่ขาดความยืดหยุ่น เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดการเคลื่อนตัวและทะลุโผล่ออกมานอกผิวหนังได้ |
ไหมละลายที่ปลอดภัยสำหรับการร้อยไหมในปัจจุบันทำจากวัสดุ 3 ชนิด |
4. | หากเป็นไหมยุคโบราณ ที่มีส่วนผสมของโลหะ เช่นทองคำ โลหะจะดูดความร้อนจากการทำ X-ray, MRI, เครื่องสแกนต่าง ๆ และจะทำให้ผิวไหม้ได้ | ไหมละลายในปัจจุบัน ไม่มีส่วนผสมของโลหะ สามารถละลายได้หมด 100% ตามระยะเวลา โดยไม่มีสารตกค้าง จะเหลือเพียงเส้นใย Elastin ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาซึ่งช่วยประคองผิว |
5. | ในทรงหน้าของบางเคสที่โหนกแก้มเด่น หากร้อยไหมจะยิ่งทำให้โหนกแก้มเด่นขึ้น และไม่สวย แนะนำให้ปรับรูปหน้าด้วยวิธีอื่นแทนเช่น ฟิลเลอร์แก้มตอบ | ในคนที่แก้มตอบบางเคสสามารถใช้ไหมดึงไขมันขึ้นมาเติมแก้มได้ แก้มล่างยุบและแก้มบนเต็มขึ้น (ต้องมีเนื้อแก้มส่วนล่างให้ดึงนะครับ ถ้าไม่มีเนื้อก็ต้องใช้ฟิลเลอร์) |
6. | ในการร้อยไหม มีความเสี่ยงที่จะเกิดการบวมช้ำหลังทำค่อนข้างสูง ทั้งจากการฉีดยาชา และเลือดที่ออกใต้ผิวหนัง ถึงแม้หลังทำทันทีจะบวมน้อย แต่ก็อาจจะบวมมากขึ้นในช่วง 3-4 วันแรก ซึ่งส่วนมากก็จะหายได้เองภายใน 7-14 วัน | หากร้อยไหมกับแพทย์ที่มีความชำนาญ และร้อยด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็จะลดความเสี่ยงในการบวมช้ำลงได้มาก |
7. |
บางคลินิกใช้การร้อยไหมเติมแทนฟิลเลอร์ อันนี้ไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะการเติมเต็มใต้ตาร่องแก้มต้องใช้ปริมาณเส้นไหมจำนวนมาก (เป็นร้อย ๆ เส้น) จะทำให้เกิดผังผืด และเกิดปัญหาในอนาคตครับ บางคลินิกนำไหมไปปั่นเป็นผงเล็ก ๆ (ไหมน้ำ) แล้วฉีดแทนฟิลเลอร์ อันนี้ก็ทำให้เกิดผังผืดครับ |
การร้อยไหมเส้นเล็ก ๆ สามารถแก้ริ้วรอยในบางจุดได้เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ บริเวณมุมปากที่คล้าย ๆ ลักยิ้ม หรือริ้วรอยหางตา, หน้าผาก ในเคสที่ดื้อโบท็อก |
2. ร้อยไหมแล้วหน้าบวม 14 วัน เกิดจากอะไร ?
เกิดได้จาก 4 สาเหตุหลัก ๆ ครับ
2.1 เนื้อแก้มเยอะ หรือดึงเยอะเกินไป
ในคนที่เนื้อแก้มเยอะ หมอแนะนำให้ทำเมโสแฟต ให้แก้มน้อยลงก่อนครับ จะทำให้สามารถดึงไหมได้เยอะขึ้น
แต่ถ้าคนที่ใจร้อนก็สามารถร้อยไหมได้ครับ แต่ก็จะดึงได้น้อยลง เพราะถ้าดึงเยอะเนื้อแก้มก็จะไปกองด้านบน ทำให้ดูเหมือนหน้าบวมได้ครับ ซึ่งในกรณีแบบนี้จะบวมนานเกิน 1 เดือน ต้องรอให้ไหมเริ่มคลาย 2-3 เดือนถึงจะเริ่มดีขึ้น
ในบางเคสที่เนื้อแก้มเยอะ การร้อยไหมจะช่วยให้เนื้อแก้มน้อยลงได้ครับ โดยผ่านกระบวนการ fat-reposition (การดึงไขมัน) ด้วยการร้อยไหม แต่จะต้องใช้เวลาหลายเดือน และต้องร้อยไหมหลายครั้งครับ
2.2 การดึงไหมผิดแนว
ถ้าร้อยไหมเพื่อดึงร่องแก้ม จะทำให้โหนกแก้มเนื้อเยอะขึ้นและทำให้หน้าดูบวมได้ครับ ปกติการร้อยไหมจะเน้นแก้ไขความหย่อนของแก้มในบริเวณใกล้ ๆ มุมปากมากกว่าครับ
จะเห็นว่าการร้อยไหมนั้นต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญในการประเมินทรงหน้าของแพทย์ด้วยครับ จึงจะทำให้ผลในการร้อยไหมออกมาสวยและเข้ารูป
2.3 การอักเสบติดเชื้อ
ปกติหลังร้อยไหม ในช่วง 3-4 วันแรกจะบวมมากขึ้น และหลังจากนั้นอาการบวมจะเริ่มยุบลงจนเข้าที่ใน 14 วัน แต่ถ้าหลังจาก 4 วันแล้วยังบวมแดงมากขึ้น ปวดมากขึ้น ต้องรีบกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินและให้ยากินเพิ่มครับ
2.4 บวมเลือด, บวมน้ำ
- บวมเลือด คือ มีเลือดออกในชั้นผิว (hematoma)
- บวมน้ำ คือ มีน้ำคั่งในชั้นผิวจากการอักเสบ (edema)
ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะยุบหายไปเองในระยะ 2-3 อาทิตย์ โดยไม่มีอันตราย
ในการร้อยไหม จะใช้เข็มเพื่อนำเส้นไหมเข้าสู่ผิว ซึ่งเข็มที่ใช้จะมีลักษณะแตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมเลือดและบวมน้ำได้ครับ
ซึ่งเข็มที่ใช้ร้อยไหมแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันดังนี้
A. เข็มแหลม มีโอกาสเกิดการ บวมเลือด > บวมน้ำ
จะตัดผ่านเนื้อคล้าย ๆ การใช้มีดคม ๆ ตัด จะเจ็บน้อยกว่า บวมน้ำน้อยกว่า เส้นเลือดเล็ก ๆ ที่โดนตัดผ่านจะสมานได้ไวกว่าการใช้เข็มทู่ แต่ถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่ก็จะมีโอกาสบวมเลือดได้ครับ ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์
B. เข็มทู่ มีโอกาสเกิดการ เกิดการ บวมน้ำ > บวมเลือด
จะผ่านเนื้อโดยการฉีกออกคล้าย ๆ การใช้มีดทื่อ ๆ ตัด จะเจ็บมากกว่า บวมน้ำเยอะกว่า สามารถหลบเส้นเลือดใหญ่ ๆ ได้ แต่เส้นเลือดเล็ก ๆ ก็ยังโดนฉีกขาดอยู่ดีครับ ยังมีเลือดออกได้ ในการร้อยไหมเข็มทู่ที่ใช้จะใหญ่กว่าเข็มทู่ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ครับ จึงบวมช้ำเยอะกว่าฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ถ้าใช้เข็มแหลมผลที่ออกมาจะสวยกว่าเข็มทู่ครับ แต่เสี่ยงเข้าหลอดเลือด ฟิลเลอร์จึงจำเป็นต้องใช้เข็มทู่ แต่สำหรับการร้อยไหมหมอบางท่านจะถนัดเข็มแหลมมากกว่า เพราะสามารถควบคุมความแม่นยำได้ดีกว่าครับ
C. เข็มตัด เป็นกึ่งแหลมกึ่งทู่ครับ
D. เข็ม L พัฒนาต่อจากเข็มตัดอีกขั้นนึงครับ
เข็มแต่ละประเภทไม่สามารถระบุได้ว่าชนิดไหนดีที่สุดครับ ขึ้นกับการประเมินเนื้อเยื่อของคนไข้และความถนัดของหมอแต่ละคนครับ เช่น ถ้าคนไข้เคยเป็นสิว และมีผังผืดเยอะ การใช้เข็มทู่ก็จะบวมช้ำมากกว่าเข็มแหลมครับ ที่ V Square Clinic จะมีเข็มทุกแบบ ซึ่งหมอจะประเมินและเลือกใช้ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนครับ
3. ทำไมร้อยไหม 3-4 เดือน ก็คลายแล้ว ?
การที่ไหมจะดึงผิวไว้ได้ มี 3 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้ครับ
3.1 Elastin ในเนื้อของคนไข้
เส้นไหมจะมีเงี่ยงที่ใช้เกี่ยวเนื้อคล้าย ๆ ตะขอ แต่หากเนื้อเยื่อที่เกี่ยว เกิดความเสื่อมสภาพ เงี่ยงก็จะไม่สามารถเกาะอยู่ได้นานครับ เนื้อจะหลุดออกจากเส้นไหม ก่อนที่ไหมจะละลายเสียอีก โดยเฉลี่ยอายุของ Elastin ในผิวคือ 6 เดือนครับ
การร้อยไหมในคนอายุเยอะผลที่ได้จะอยู้ได้สั้นลงครับ เพราะในผิวขาด Elastin แต่เมื่อร้อยเพิ่มหลาย ๆ ครั้งจะอยู่ได้นานขึ้นเพราะการร้อยไหมจะช่วยกระตุ้นการสร้าง Elastin ครับ
3.2 การสร้าง Elastin
แม้เส้นไหมจะละลายไป แต่หากเนื้อเยื่อมีการสร้าง Elastin ขึ้นมาเยอะ(คล้าย ๆ แปะกาว) ความกระชับก็ยังคงอยู่ได้ครับ
3.3 อายุของเส้นไหม
วัสดุที่ใช้ร้อยไหมได้ปลอดภัยมี 3 ชนิดคือ PCL / PLLA / PDO เรียงในรูปตามลำดับ
- PCL (Polycaprolactone) ละลายหมดภายใน 18-24 เดือน เส้นสีขาวขุ่น มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด เส้นใหญ่ที่สุด
- PLLA (Polylactate) ละลายหมดภายใน 12-18 เดือน เส้นสีขาวใส ขาดความยืดหยุ่น อาจจะพบปัญหา ไหมขาด ไหมทะลุได้บ่อย
- PDO (Polydioxanone) จะละลายหมดภายใน 4-6 เดือน เส้นสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นสูง เป็นที่นิยมมากที่สุด
4. ร้อยไหมแต่ละชนิด ราคาแตกต่างกันอย่างไร ?
คลินิกต่าง ๆ จะมีชื่อเรียกไหมชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ไหมกุหลาบ, ไหมก้างปลา, ไหมปิรันย่า, ไหมทับทิม, ไหมทอนาโด, ไหม…., ฯลฯ เป็นชื่อที่ไม่เป็นสากลครับ คลินิกต่าง ๆ ตั้งชื่อกันขึ้นมาเองเพื่อให้คนไข้ไม่สามารถเช็คราคาเทียบกับคลินิกอื่น ๆ ได้ครับ (เราสามารถสอบถามทางคลินิกเพิ่มเติมได้ครับว่าร้อยไหมชนิดไหน โดยดูตามลักษณะเส้นไหมด้านล่างนี้ครับ)
แท้ที่จริงแล้วเราแยกชนิดไหมหลัก ๆ ได้ดังนี้ครับ
4.1 ตามชนิดวัสดุ PDO, PLLA, PCL
ตามรูปและรายละเอียดที่กล่าวไว้แล้วในข้อ 3.3
4.2 ตามลักษณะเส้นไหม
ในรูปนี้คือวัสดุ PDO จะเป็นสีน้ำเงินครับ ถ้า PLLA จะเป็นสีขาวใส, PCL จะสีขาวขุ่น ซึ่งจากประสบการณ์พบว่าไหมที่ดึงหน้าได้ดีที่สุดคือไหมเงี่ยงใหญ่ครับ เป็นที่นิยมใช้ในทุกคลินิก แล้วแต่ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร และตั้งราคาต่างกันเท่านั้นเอง
5. ร้อยไหม vs ฟิลเลอร์ vs โบท็อก vs Ulthera/Hifu ควรทำอะไรดี ?
แบ่งได้ง่าย ๆ ตามนี้ครับ
- ร้อยไหม เหมาะสำหรับคนที่แก้มหย่อนมาก ๆ จะเห็นผลได้ชัดเจน โดยที่ราคาไม่แพง
- Ulthera/Hifu เหมาะสำหรับคนที่แก้มหย่อนไม่มาก เห็นผลไม่ชัดเจนเท่าร้อยไหม และราคาค่อนข้างสูง เหมาะกับคนที่กลัวเข็ม
- ฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับคนที่หน้าหย่อนคล้อยจากร่องใต้ตาร่องแก้มที่ลึก
- โบท็อก สำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อกรามเยอะ(กัดฟันแล้วกรามเด้งเยอะ) ร่วมกับมีริ้วรอยบริเวณหางตา-หน้าผาก
ซึ่งหากยังไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรดี ก็สามารถส่งภาพถ่ายทาง inbox facebook หรือ Line ให้หมอช่วยประเมินได้ฟรีครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ