รักษาหลุมสิว
การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธี มีทั้งวิธีที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว และวิธีที่ต้องใช้ระยะเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเป็นหลุมสิวแบบไหน ? เกิดจากสาเหตุอะไร ? หลุมสิวมีหลายแบบครับ ระดับความตื้น-ลึกของหลุมสิวมีความแตกต่างกัน ส่งผลต่อการเลือกวิธีรักษาหลุมสิว และระยะเวลาเห็นผลครับ
สารบัญ รักษาหลุมสิว
หลุมสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
สาเหตุการเกิดหลุมสิว (Atrophic Scars) ส่วนใหญ่เกิดจากการดูแลรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี เช่น เป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ สิวอุดตัน สิวหัวช้าง มีเชื้อแบคทีเรียและหนองอยู่ภายในหัวสิวแล้วปล่อยทิ้งไว้นาน ไม่รีบรักษา ทำให้เชื้อแบคทีเรียลุกลาม ถ้าชอบบีบสิว แกะสิว ก็จะยิ่งทำให้สิวอักเสบมากขึ้นครับ
เวลาที่สิวอักเสบ ร่างกายจะหลั่งเอนไซม์คอลลาจีเนส (Collagenase) ออกมาสลายคอลลาเจนที่ผิวบริเวณที่เกิดสิวและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้ผิวชั้นในยุบตัว ถ้าการอักเสบเกิดแค่ผิวชั้นบน เมื่อสิวหายก็มักจะไม่ทิ้งรอยหลุมสิวไว้ แต่ถ้าหากเกิดการอักเสบในชั้นผิวที่ลึกลงไปจนถึงผิวชั้นใน จะเกิดเป็นพังผืดดึงรั้งผิว ทำให้เป็นหลุมสิว
หลุมสิวมีกี่แบบ
ถ้าแบ่งหลุมสิวตามระดับความลึก จะแบ่งได้เป็น 3 แบบ ได้แก่
- หลุมสิวแบบจิก (Ice Pick Scar) เป็นหลุมสิวที่ลึกที่สุด ลักษณะเป็นหลุมสิวที่แคบแต่ลึก ก้นหลุมสิวแหลมคล้ายกรวย รอยหลุมจิกลงไปเห็นขอบชัด เกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตัน มักพบบริเวณแก้มหลุมสิวแบบนี้ยังแบ่งออกเป็น
- หลุมสิวตื้น ระดับความลึก 0.1-0.5 มิลลิเมตร
- หลุมสิวลึก ระดับความลึกมากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 มิลลิเมตร
- หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar Scar) เป็นหลุมสิวระดับปานกลาง เกิดจากสิวอักเสบหรืออีสุกอีใส ก้นหลุมสิวจะตื้นกว่า Ice Pick Scar มีขนาด 3-5 มิลลิเมตร ก้นหลุมสิวและปากหลุมสิวกว้างเท่ากันเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายกล่อง เห็นขอบหลุมสิวชัดเจน
- หลุมสิวแอ่งกระทะ (Rolling Scar) ส่วนใหญ่เกิดจากการแกะสิว เป็นหลุมสิวที่ตื้นที่สุด มีขนาด 4-5 มิลลิเมตร ลักษณะของหลุมสิวจะเป็นการยุบตัวของผิวชั้นบนเพียงเล็กน้อย ก้นหลุมสิวมีลักษณะคล้ายก้นกระทะ ไม่ได้ลึกเหมือนหลุมสิวแบบจิก และหลุมสิวแบบกล่อง
สิวที่ทำให้เกิดหลุมสิว
สิวที่ทำให้เกิดหลุมสิว มักจะเป็นสิวเม็ดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง สิวอักเสบ สิวติดเชื้อลุกลาม ซึ่งสิวแต่ละประเภทที่กล่าวมา หากรักษาไม่ถูกวิธี จะทำให้ชั้นผิวหนังบริเวณเกิดเป็นหนอง เป็นโพรง และหลุมสิวได้ในที่สุด
- สิวหัวช้าง (Cyst) ลักษณะเป็นตุ่มบวม มีทั้งแบบมีหัวสิวและสิวเป็นไตแข็ง ไม่มีหัวสิว เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ไม่ควรบีบครับ เพราะจะทำให้อักเสบ และทำให้เกิดหลุมสิว
- สิวอักเสบ (Pustule) เป็นหนอง เข้าไปทำลายผิวและทำลายคอลลาเจนในผิว หลังจากสิวหายจะเกิดพังผืดดึงรั้งเป็นหลุมสิว
- สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule) เกิดจากสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง อักเสบและบวมแดงอยู่บนผิวด้านนอก เกิดจากการอักเสบใต้ผิวหนังจากแบคทีเรียที่ลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว
วิธีรักษาหลุมสิว
วิธีรักษาหลุมสิวมีหลายวิธี ในเบื้องต้นต้องให้หมอประเมินปัญหาและสภาพผิวก่อนครับ เพื่อแนะนำวิธีการรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับหลุมสิวที่เป็นอยู่
- ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
- ทำเลเซอร์หลุมสิว
- คลื่นวิทยุ RF รักษาหลุมสิว
- ตัดพังผืด (Subcision)
- ผ่าตัดหลุมสิว (Acne Scar Revision)
- กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion : MD)
- ใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
- ใช้ Retinoids รักษาหลุมสิว
ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
หากอยากเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว หมอแนะนำการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) หมอจะใช้ฟิลเลอร์รุ่นเนื้อละเอียด ฉีดเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวยืดหยุ่น เติมเต็มหลุมสิว ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน และรูขุมขนเล็กลง
หลุมสิวจะตื้นขึ้นทันทีประมาณ 70% แต่วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่มีหลุมสิวตื้นถึงปานกลาง เนื่องจากเป็นหลุมสิวแบบที่ยังไม่มีพังผืดเกาะใต้ผิวหนัง
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว ใช้กี่ CC ? ต้องทำบ่อยแค่ไหน ?
ทำเลเซอร์หลุมสิว
การทำเลเซอร์หลุมสิวมีหลายแบบ เป็นการปล่อยคลื่นแสงที่มีระดับความยาวคลื่นต่างกันเพื่อปรับสภาพผิว และซ่อมแซมผิว หมอจะประเมินจากสภาพผิวของคนไข้ และลักษณะหลุมสิว โดยกลุ่มเลเซอร์หลุมสิวที่นิยม เช่น Fractional Co2 Laser, Fraxel, Fine Scan, Fractional, e-matrix และ Pico Laser หลังทำจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น
สำหรับคนที่มีหลุมสิวระดับกลาง-ลึก ต้องทำหลายครั้งครับ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน คลินิกเลเซอร์ส่วนใหญ่จึงขายเป็นคอร์ส 3 ครั้ง 5 ครั้ง หลังทำต้องพักหน้า มีเวลาพักฟื้น โดยเฉพาะคนที่มีผิวบาง เพราะอาจมีรอยแดง รอยช้ำ บวมแดง หรือเป็นแผลตกสะเก็ด
คลื่นวิทยุ RF รักษาหลุมสิว
การใช้คลื่นวิทยุ Radiofrequency หรือคลื่น RF รักษาหลุมสิว จะคล้ายกับการทำเลเซอร์ คือปล่อยพลังงานให้เกิดความร้อนที่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนที่ผิวชั้นล่าง แต่หลังทำอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น หน้าบวม แดง ต้องพักฟื้น พักหน้า แต่ระยะเวลาสั้นกว่าเลเซอร์หลุมสิว ส่วนผลลัพธ์ของการรักษาหลุมสิวไม่ค่อยต่างกันมาก
ตัดพังผืด (Subcision)
ตัดพังผืด รักษาหลุมสิว (Subcision) คือ การใช้เข็มขนาดเล็กตัดเลาะพังผืดใต้ผิวหนังออก เป็นการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ เพื่อเติมเต็มให้หลุมสิวตื้นขึ้น ใบหน้าเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับคนที่มีหลุมสิวตื้นและเป็นแอ่งกว้าง Rolling Scar และหลุมสิวลึกแบบ Box Scar ควรทำติดต่อกัน 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะในการทำประมาณ 3-5 สัปดาห์ นิยมทำควบคู่กับการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ครับ
ผ่าตัดหลุมสิว (Acne Scar Revision)
การผ่าตัดหลุมสิว เป็นการรักษาหลุมสิวด้วยการสร้างแผลใหม่เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน หมอจะใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มาตัดบริเวณผิวหนังที่เป็นหลุมสิว และดึงขอบผิวหนังทั้ง 2 ข้าง เย็บติดกันด้วยไหมที่ใช้ในการเย็บแผล
หลังทำจะมีรอยผ่าตัดเป็นเส้นตรง ใช้เวลา 1-2 เดือน ผิวหนังจึงจะสมานเป็นเนื้อเดียวกัน วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่เป็นหลุมสิว Ice Pick Scar หรือหลุมสิวระดับลึกที่มีขนาดความกว้างไม่เกิน 3 มิลลิเมตร เพราะอาจมีแผลเป็นที่มองเห็นได้ชัด
กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion : MD)
การกรอผิวเพื่อรักษาหลุมสิว เป็นการใช้เครื่องมือกรอผิวหนังชั้นกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดออก ด้วยเกล็ดอัญมณี (คริสตัล) เช่น Aluminum oxide, Sodium bicarbonate ขนาดเล็กประมาณ 100 ไมครอน เร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ลึกกว่าการสครับผิวทั่วไป แต่ไม่ได้ลึกถึงขั้นทำเลเซอร์
การกรอผิวจะกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้รูขุมขนกระชับ รอยหลุมสิวตื้นขึ้น เหมาะกับหลุมสิวแบบตื้น-ปานกลาง จำนวนครั้งที่ทำจะขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว ระดับความลึกของหลุมสิว ต้องทำต่อเนื่อง 5-10 ครั้งขึ้นไป ถึงจะเห็นผลชัดเจนครับ
ใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
กรดลอกผิวรักษาหลุมสิว เป็นการใช้สารเคมีที่เป็นกรดอ่อน ๆ ทาลงบนผิวหนัง หลัก ๆ จะใช้กรดผลไม้ เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนผิวบาง ผิวแพ้ง่าย อาจทำให้ระคายเคือง
ข้อควรระวัง ไม่ควรซื้อกรดลอกผิวหรือที่เรียกว่าน้ำยาลอกผิวขาวที่ขายทางอินเทอร์เน็ตมาทำเองเด็ดขาด เพราะส่วนผสมมีความเข้มข้นที่สูงเกินมาตรฐาน อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ใช้ Retinoids รักษาหลุมสิว
วิธีนี้เป็นการใช้ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Retin A (เรตินเอ), Retinoid (เรตินอยด์), Retinol (เรตินอล) เพื่อปรับโครงสร้างผิวชั้นบนให้เรียบเนียนขึ้น รักษารูขุมขนกว้าง หลุมสิว ลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบของสิว ผลัดเซลล์ผิวเก่า สร้างเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น
การใช้ Retinoids มีข้อควรระวัง คือ อาจทำให้ผิวแห้ง แสบ หน้าแดง ผิวลอก ระคายเคือง ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ครับ
หลุมสิวลึกมากแก้ไขได้ไหม ?
หลุมสิวลึกมากแก้ไขได้ครับ ขึ้นอยู่กับการเลือกวิธีการรักษา และระยะเวลาที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ ปรึกษาหมอก่อนได้ครับ เพื่อประเมินระดับของปัญหา และเลือกวิธีการรักษาที่เห็นผลที่สุด
รักษาหลุมสิวกี่วันหาย ?
ระยะเวลาการรักษาหลุมสิว ขึ้นอยู่กับระดับความลึกของหลุมสิว และวิธีรักษาหลุมสิวครับ ถ้าเป็นหลุมสิวลึก ต้องใช้เวลานาน หรือทำหลายวิธีร่วมกันจึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนครับ
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว
การป้องกันหลุมสิว ควรเริ่มตั้งแต่การป้องกันไม่ให้เกิดสิวครับ
- ล้างหน้าให้สะอาด ล้างเครื่องสำอางออกให้หมด ขจัดสิ่งสกปรก สารเคมีตกค้าง อุดตันผิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าและบำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว
- หลีกเลี่ยงการจับหน้า ลูบหน้าบ่อย ๆ เพราะมืออาจมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรก
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดของทอด ของมัน ของหวาน
- หากเป็นสิว ควรรักษาอย่างถูกวิธี ไม่ควรบีบสิว แกะสิว เพราะจะไปกระตุ้นให้สิวอักเสบลุกลาม
- งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน
นอกจากนี้ควรบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายใน เพื่อเป็นการเพิ่ม Skin Barrier หรือเกราะป้องกันผิว เพราะถ้าพื้นฐานผิวแข็งแรง ก็จะช่วยลดปัญหาผิวและโอกาสการเกิดสิว ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดหลุมสิวได้
ฉีดเมโสหน้าใส
ฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดสารบำรุงและวิตามินเข้าไปในผิวชั้นกลางโดยตรง เห็นผลลัพธ์เร็วกว่าการใช้สกินแคร์บำรุงทั่วไป เหมาะกับคนที่ต้องการหน้าใสเห็นผลเร่งด่วน หลังฉีดเมโสหน้าใส เริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน อยู่ได้นาน 1-2 เดือน หากต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ในช่วงเดือนแรกควรฉีดทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์ เพื่อคงสภาพผิว
นอกจากช่วยปรับสภาพผิวขาวกระจ่างใส ยังช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น แม้จะไม่ได้มีจุดเด่นในการลดหลุมสิวโดยตรง แต่สามารถลดการเกิดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ลดรอยสิว สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และกระชับรูขุมขนให้เล็กลงได้ครับ
ฉีดมาเด้คอลลาเจน (Made Collagen)
ถ้ามีสิวผด ผื่น เมโสหน้าใสยี่ห้อที่มีจุดเด่นด้านนี้ คือ มาเด้คอลลาเจน ช่วยลดการอักเสบ ขับสารพิษที่สะสมออกคอลลาเจนยังช่วยให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ช่วยลดสิว ป้องกันหลุมสิวได้ครับ
ฉีดรีจูรัน (Rejuran)
Rejuran (รีจูรัน) มีส่วนประกอบหลักจากโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) หรือ PN บริสุทธิ์ เข้มข้น 2% สกัดจากชิ้นส่วน DNA ปลาแซลมอนที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ 98% มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว เมื่อนำมาฉีดในชั้นหนังแท้โดยตรง จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพสีผิวให้ฉ่ำวาวแบบเร่งด่วนได้ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : Rejuran ตัวช่วยฟื้นฟูผิว เหมาะกับใคร ? กี่วันเห็นผล ?
รักษาหลุมสิวที่ไหนดี ?
การเลือกคลินิกรักษาหลุมสิว มีเช็กลิสต์ที่ต้องนำมาพิจารณาไม่ต่างจากการเลือกคลินิกเสริมความงามครับ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง สะอาด ปลอดเชื้อ ใช้เครื่องมือทันสมัย แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ มีประสบการณ์ด้านการรักษาสิวครับ
สรุป
การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของคนไข้ ต้องให้หมอประเมินก่อนครับว่าเป็นหลุมสิวมีความลึกระดับไหน หลุมสิวตื้นจะรักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิวลึก ถ้าเป็นสิวจึงไม่ควรแคะ แกะ เกา จนอักเสบลุกลาม เพราะจากที่เป็นหลุมสิวตื้น อาจจะเป็นกลายเป็นหลุมสิวลึก ต้องรักษาหลายครั้งถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
การป้องกันไม่ให้เกิดสิว และหลุมสิวจึงเป็นสิ่งสำคัญ และง่ายกว่าการแก้ไขครับ นอกจากการบำรุงผิวด้วย Skincare Routine แล้ว สามารถบำรุงผิวด้วยวิธีทางการแพทย์ อย่างการฉีดเมโสหน้าใส ฉีดมาเด้คอลลาเจน ฉีดรีจูรัน ที่ช่วยสร้างเกราะให้ผิวมีความแข็งแรงครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ