เติมไขมันหน้า
การเติมไขมันหน้าเด็กกำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งจากที่ได้เจอเคสมาพบเคสจำนวนมากที่ผิดหวังจากการเติมไขมัน เพราะไม่ได้เห็นผลอยู่ได้นานเหมือนตามที่โฆษณา บทความนี้จะขอเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้ไขมันที่เติมปลูกไม่ติด ข้อมูลต่าง ๆ ที่ควรรู้ก่อนการเติมไขมันและอันตรายที่ซ่อนอยู่ของการเติมไขมันที่คนไข้หลาย ๆ คนยังไม่ทราบ และเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการเติมไขมันครับ
สารบัญ เติมไขมันหน้า
Q : ถ้าหน้ายุบเยอะมาก ๆ ควรเติมไขมันเท่านั้นจริงหรือ ?
ปกติเมื่ออายุเยอะขึ้นการยุบตัวของโครงหน้าพบได้ 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
- เนื้อยุบตัว
- กระดูกยุบตัว
ซึ่งจะทำให้เกิดผิวหนังส่วนเกิน และความหย่อนคล้อย
ในส่วนที่เนื้อยุบตัวลง เราสามารถเลือกได้ทั้งการเติมไขมันหน้าและฉีดฟิลเลอร์ได้ครับ โดยจะมีข้อดี-ข้อเสียเปรียบเทียบให้ดูอย่างละเอียดในข้อท้ายสุดครับ
ในส่วนที่กระดูกยุบตัวลง ไม่สามารถใช้ไขมันเติมได้ครับ เนื่องจากในชั้นเยื่อหุ้มกระดูกมีเส้นเลือดมาเลี้ยงน้อย เซลล์ไขมันไม่สามารถอยู่รอดได้ และไขมันจะเป็นเนื้อนิ่ม ๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ยกพยุงผิวหน้าได้ดีเท่ากระดูก
ในกรณีนี้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการเติมด้วยฟิลเลอร์ครับ จะมีรุ่นที่ใช้สำหรับยกหน้าโดยเฉพาะครับ
หากเติมที่เนื้ออย่างเดียวโดยไม่เสริมกระดูกขึ้นมา หน้าก็จะเต็มอย่างเดียว ไม่เข้ารูป ไม่มีมิติครับ ขาดความคมของใบหน้า และเราไม่สามารถฉีดไขมันด้วยเทคนิคยกพยุงหน้าแบบที่ใช้ฟิลเลอร์ฉีดได้ครับ
Q : การเติมไขมันที่ใบหน้าควรเติมแบบไม่จำกัด cc ควรทำทีเดียวให้คุ้ม จริงหรือไม่ ?
การเติมไขมัน เป็นการปลูกเซลล์ไขมัน คล้าย ๆ กับต้นไม้ถ้าเราปลูกต้นไม้จำนวนมาก ๆ ลงในพื้นที่แคบ ๆ โดยไม่เว้นระยะห่าง ต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางก็จะตายครับ เพราะมีเส้นเลือดมาเลี้ยงไม่พอ
ไขมันที่เติมเป็นเซลล์ที่ต้องการเส้นเลือดมาเลี้ยงครับ ถ้าปลูกแน่นเกินไป เส้นเลือดเจริญเติบโตเข้ามาเลี้ยงไม่ทัน เซลล์ก็จะตายไปครับ ปลูกไม่ติด
แต่คนเข้าใจผิดกันเยอะ เพราะรีวิวเติมไขมันที่หน้า ส่วนมากจะเน้นเติมไขมันให้เห็นความเปลี่ยนแปลง before-after ชัดเจน แต่เคสรีวิวที่เห็นเติมเยอะ ๆ เหล่านั้น 70% เมื่อเวลาผ่านไป 6-12 เดือน เซลล์ไขมันที่เติมจะยุบหายเกือบหมดเลยครับ เพราะการเติมเยอะ ๆ โอกาสที่ไขมันจะติดน้อยมากครับ
หมอก็จำใจต้องฉีดปริมาณเยอะ ๆ ที่คนไข้ต้องการ เพราะคนไข้ส่วนมากติดภาพกับเคสรีวิวที่โฆษณา การเติมไขมันหน้าด้วยเทคนิคที่ทำให้เซลล์ไขมันมีโอกาสรอดมากที่สุด คือ เทคนิค micro fat graft
เป็นการฉีดเซลล์ไขมันปริมาณน้อยมาก ๆ (ขนาดไม่เกินจุดละ 0.01 cc) กระจายทั่ว ๆ ในทุกชั้นของผิว
ผลที่ได้ จะไม่ได้เต็มสวยทันทีเหมือนตามรีวิวครับ จะต้องรอให้เซลล์ไขมันที่ปลูกไว้ค่อย ๆ โตขึ้นมาในระยะ 6 เดือน-1 ปี จึงจะมีโอกาสอยู่ได้ถาวรครับ และอาจจะต้องปลูกถ่ายเพิ่มอีกถ้าต้องการให้เต็มสวย
และชั้นผิวที่ถูกยืดออกจากการเติมเนื้อที่มากเกินพอดี จะขาดความกระชับครับ จะนิ่ม ๆ ยวบยาบ สัมผัสไม่เป็นธรรมชาติ และหย่อนลงในที่สุด
Q : การเติมไขมันหน้า จะได้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นไขมันของเราเอง จริงหรือไม่ ?
ในเคสที่มีการยุบตัวของกระดูกร่วมด้วย หากเติมเนื้อด้วยไขมันเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ยกพยุงโครงกระดูกขึ้นด้วย เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน 3-5 ปี เนื้อทั้งหมดจะเริ่มหย่อนลงแบบทวีคูณครับ เพราะขาดโครงสร้างกระดูกที่ช่วยพยุง คล้าย ๆ ลูกโป่งที่ใส่น้ำเข้าไปแล้วทิ้งไว้นาน ๆ จะหย่อนลง เพราะขาดโครงที่พยุงข้างใน ซึ่งการยุบตัวของกระดูกนั้น จะเริ่มเกิดในทุกคนตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปครับ
การฉีดฟิลเลอร์ในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก นอกจากจะช่วยดึงหน้าที่หย่อนจากการยุบตัวของกระดูกแล้ว ยังช่วยป้องกันความหย่อนในอนาคตได้อีกด้วยครับ ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการเติมไขมันครับ แต่ราคาจะสูงกว่าเมื่อเทียบต่อ cc
ตัวอย่างเคสที่ฉีดยกพยุงหน้าด้วยฟิลเลอร์ครับ จะเห็นว่าหลังทำหน้าจะดูยกขึ้นแบบไม่บานออก ดูกระชับขึ้นกว่าก่อนทำแบบธรรมชาติ และถึงแม้จะเป็นการเติม แต่ก็ทำให้หน้าดูเล็กลง
ถ้าใช้ไขมันเติมมากเกินไปหรือฉีดฟิลเลอร์แบบผิดวิธี หน้าจะดูบวม ๆ ไม่ธรรมชาติครับ
Q : การเติมไขมันหน้า ปลอดภัยกว่าการเติมฟิลเลอร์ชนิด HA จริงหรือไม่ ?
อันตรายร้ายแรงที่สุดของการเติมไขมัน/ฟิลเลอร์ คือ การฉีดเข้าหลอดเลือดครับ ในต่างประเทศทั่วโลกที่มีการฉีดไขมันมากกว่าในไทยมาก ๆ พบว่า มีเคสที่เนื้อตาย/ตาบอดจากการฉีดไขมันสูงกว่าฟิลเลอร์มาก ๆ ครับ เนื่องจากไขมันไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายได้ในทันทีหากฉีดเข้าหลอดเลือดครับ ไม่มีทางแก้
แต่หากเป็นฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic acid จะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Hyaluronidase ที่สามารถละลายหมดได้ 100% ทันที หากแพทย์พบว่าฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดก็จะสามารถแก้ไขได้ทันทีครับ
ในตารางเปรียบเคสที่เกิดเนื้อตายตาบอดจากการฉีดสารเติมเต็มชนิดต่าง ๆ จะเห็นว่าเคสที่เป็นสาเหตุจากการเติมไขมันมีเยอะกว่าการเติมฟิลเลอร์ชนิด HA
ในบทความของต่างประเทศจะมีการพูดถึงอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสาเหตุนั้นเป็นเพราะคำว่า “ฟิลเลอร์”ของต่างประเทศนั้นรวมสารเติมเต็มอื่น ๆ ไว้ด้วยทั้งหมด โดยแยกเป็น 5 ประเภท คือ
- “การเติมไขมัน” ก็ถูกจัดรวมไว้ในคำว่า “ฟิลเลอร์” ด้วย
- Collagen เป็นฟิลเลอร์รุ่นโบราณ บวมแดงง่าย ไม่เป็นที่นิยมในปัจุบัน
- ฟิลเลอร์ชนิดที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ เช่น ซิลิโคนเหลว Paraffin PMMA CaHA PAH
- ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ที่สามารถย่อยสลายได้ปลอดภัย (ที่กล่าวถึงในบทความนี้)
- ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid ปลอมที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มาตรฐาน อาจจะสลายไม่หมดหรือสลายหมดไวมาก
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมีข้อมูลต่าง ๆ จากงานวิจัยต่างประเทศมากมายว่า “ฟิลเลอร์” มีผลข้างเคียงเยอะ นั่นเป็นเพราะคำว่าฟิลเลอร์นั้นรวมการฉีดไขมัน การฉีดฟิลเลอร์ชนิดที่ไม่สลาย รวมถึงฟิลเลอร์ปลอม เข้าไปในคำว่า “ฟิลเลอร์” ด้วย แต่ในเมืองไทยคำว่าฟิลเลอร์ที่หมอพูดถึงว่าไม่อันตรายนั้น หมายถึงฟิลเลอร์ชนิด HA ของแท้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
Q : การเติมไขมันหน้า อยู่ได้ถาวรจริงหรือไม่ ?
เคสเติมไขมันหน้าส่วนมาก 70% จะพบความผิดหวังครับ เพราะไม่ได้อยู่ได้ถาวรตามที่โฆษณาไว้ บางเคส 3-4 เดือน ยุบหายหมดก็มีครับ ส่วนมากยุบหายเพราะเติมในปริมาณที่มากเกินไป
เซลล์ไขมันที่เติมแล้วมีชีวิตรอด ก็ยังสามารถหายไปได้ตามเวลาครับ จะมีบางเคสเท่านั้นที่อยู่ได้ถาวร ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีเทคนิคการเติมไขมันที่หวังผลได้ 100% ครับ ไขมันจะติดหรือไม่ติด หมอก็รับประกันไม่ได้ครับ
Q : หากเติมไขมันใต้ตาแล้วเป็นก้อน ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ส่วนมากแก้ยากครับ เพราะไขมันไม่มียาฉีดสลายที่หวังผลได้แน่นอน และใต้ตาเป็นบริเวณที่ละเอียด แค่ก้อนเพียงเล็กน้อยก็มองเห็นได้ชัดแล้วครับ และก็ยังมีโอกาสที่ไขมันที่เติมจะยุบหาย 2 ข้างไม่เท่ากันด้วย จึงไม่แนะนำให้เติมไขมันที่ใต้ตาครับ แต่หากเติมมาแล้วเป็นก้อน อาจจะใช้ฟิลเลอร์และโบท็อกช่วยตกแต่งให้ดีขึ้นได้ในบางกรณีครับ
สรุปข้อดี-ข้อเสียของการเติมไขมันหน้า vs ฉีดฟิลเลอร์
การเติมไขมันหน้า ควรฉีดในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ล้นเกินไป เพราะจะทำให้เซลล์ไขมันไม่รอดและยุบหายไว อีกทั้งการเติมเยอะเกินไป จะทำให้ชั้นผิวยืดออกขาดความกระชับ เมื่อเวลาผ่านไปจะคล้ายคนอ้วนที่ลดน้ำหนักครับ ผิวหย่อนลงมากกว่าเดิม
ข้อดี-ข้อเสีย | การเติมไขมันหน้า | การเติมฟิลเลอร์ |
---|---|---|
ราคา | เมื่อเทียบราคาต่อ cc การเติมไขมันหน้า ราคาถูกกว่ามาก อยู่ที่ 50,000-70,000 ต่อ 50-100 cc | ฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย ราคาต่อ cc ค่อนข้างสูง อยู่ที่ 10,000+ ต่อ 1 cc |
ขนาดแผล | สามารถทำพร้อมกับการดูดไขมันส่วนเกินออก มีแผลบริเวณที่ดูดไขมัน 3-5 mm | ถ้าร่องไม่ลึกมาก ต้องการเติมเพียงเล็กน้อย การเติมฟิลเลอร์ก็จะสะดวกสบายกว่า ไม่ต้องมีแผลดูดไขมัน |
การเห็นผล | หวังผลได้ประมาณ 30% หน้า 2 ข้างอาจได้ผลไม่เท่ากัน อาจต้องฉีดซ้ำเพื่อตกแต่งเพิ่มหลายครั้ง เติมเพิ่มอย่างเดียวไม่สามารถฉีดสลายได้ | เห็นผล 80% ทันทีหลังทำ สามารปรับแก้เพิ่ม-ลดเพื่อให้ได้ผลตามต้องการได้ |
การเห็นผลและการพักฟื้น | การเติมเพื่อให้ได้ผลอยู่ได้ถาวร ต้องใช้เทคนิค micro fat graft เป็นการฉีดไขมันจุดละไม่เกิน 0.01 cc กระจายทั่วทุกชั้นในเนื้อผิว ซึ่งก็จะไม่ได้เต็มสวยภายใน 1 เดือนเหมือนเคสรีวิว จะต้องรอให้เซลล์ที่ปลูกค่อย ๆ โตขึ้นมาในระยะ 6 เดือน-1 ปี | เหมาะกับเคสที่ต้องการเห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น |
เหมาะสมกับ | เคสที่ต้องการเติมครั้งละเยอะ ๆ ให้เปลี่ยนแปลงชัดเจน | เคสที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ๆ ไม่ต้องการให้เพื่อนสังเกตเห็นชัดว่าไปฉีดหน้ามา |
การคงสภาพ | การปลูกเซลล์ไขมันมีโอกาสปลูกสำเร็จ 30% และค่อย ๆ หายไปตามเวลา อยู่ได้ถาวรในบางเคส ไม่สามารถรับประกันผลได้ | เป็น Hyaluron (ที่เลียนแบบคอลลาเจนในผิว) มีหลายรุ่น หลายรูปแบบให้เลือกใช้ อยู่ได้ 1-2 ปี |
ข้อควรระวัง | ต้องระวังการโฆษณาเกินจริง และไม่ควรเชื่อรีวิวที่เติมหน้าจนล้น ควรระวังรูป before after ที่แต่งหน้าและให้ลองถามเคสที่เติมไขมันมาแล้วเกิน 1 ปี เพื่อความมั่นใจว่าผลเป็นอย่างไร | ต้องระวังฟิลเลอร์ปลอม ควรตรวจสอบฟิลเลอร์ ก่อนฉีดทุกครั้ง หมอแกะกล่อง แกะหลอด ให้ดูก่อนฉีดเพื่อความมั่นใจ และหลังฉีดควรเก็บกล่องและหลอดกลับบ้าน หรือถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบ |
เคสเนื้อยุบมาก ๆ | เหมาะกับคนที่เนื้อยุบมาก ๆ ในตำแหน่ง ขมับ แก้มตอบ ร่องแก้ม และคนที่ต้องการเติมหลาย ๆ จุดพร้อมกัน | ในคนที่เนื้อยุบเยอะ ๆ ก็สามารถใช้ฟิลเลอร์เติมได้ โดยจะแบ่งในการเติมชั้นลึก (กระดูก) กับชั้นตื้น (เนื้อ) เพื่อให้ผลออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่จะใช้จำนวน cc เยอะ และราคาสูง |
เคสการยุบตัวของกระดูก | ไม่สามารถแก้การยุบตัวของกระดูกได้ ฉีดได้ในชั้นที่เป็นเนื้อ หากเติมมากเกินไปเนื้อก็จะยวบยาบไม่เป็นธรรมชาติ | เหมาะกับคนที่มีปัญหาจากการยุบตัวของกระดูก เช่น ในตำแหน่งใต้ตา แก้มส้ม คาง หน้าผาก (สำหรับหน้าผากต้องฉีดในชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก ถ้าฉีดตื้นเวลายักคิ้วหน้าผากจะขึ้นเป็นก้อน) |
เคสต้องการความละเอียดสูง | ไขมันไม่สามารถเติมในบางจุดได้ เช่น ดอลลี่อาย ริมฝีปาก | สามารถฉีดในบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูงได้ |
การบวมช้ำ | ค่อนข้างบวม ต้องพักฟื้น 2-4 อาทิตย์ บางคนบวมถึง 2 เดือน | ไม่บวม เข้าที่ภายใน 2 อาทิตย์ หลังฉีดสามารถใช้หน้าได้ปกติ (อาจมีรอยช้ำในบางเคส สามารถแต่งหน้าปกปิดได้) |
การแก้ไขหากฉีดเข้าหลอดเลือด | ***ในกรณีที่ฉีดเข้าหลอดเลือด จะแก้ไขไม่ได้ และเกิดเนื้อตาย/ตาบอด | ***ในกรณีที่ฉีดเข้าหลอดเลือด ถ้าแก้ไขสลายได้ทันท่วงที ผิวกลับคืนสภาพเดิม 100% ไม่เกิดเนื้อตาย/ตาบอด |
การยกหน้าในชั้นกระดูก | ไม่สามารถฉีดเพื่อยกหน้าในชั้นกระดูกได้ | สามารถฉีดเพื่อปรับโครงหน้าให้ดูคมขึ้น มีมิติขึ้น ได้สัดส่วน มีความคมของใบหน้า ไม่ใช่แค่หน้าเต็มอย่างเดียว (ฉีดยกหน้าในชั้นเยื่อหุ้มกระดูก) |
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ