ฟิลเลอร์ใต้ตา
Q&A ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร ก่อนตัดสินใจฉีด อะไรบ้างที่ควรรู้
ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา ตาลึก ตาโหล ขอบตาดำ ถุงใต้ตา ได้อย่างไร? ตอบทุกคำถามที่อยากรู้ ติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ ฟิลเลอร์ใต้ตา
Q : ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ?
A :
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับฟิลเลอร์คร่าว ๆ ก่อนนะครับ
ฟิลเลอร์ คือ ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เป็นคอลลาเจนที่สามารถใช้เอนไซย์ที่ชื่อไฮยาลูรอนิเดสสลายกลายออกไปเป็นน้ำและก็ละลายออกหมดได้ 100% โดยไม่มีสิ่งตกค้าง ส่วนร่องรอยใต้ตานั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิว โครงหน้าคนตามอายุ พออายุเพิ่มขึ้นกระดูกจะยุบ เนื้อจะน้อยลง ซึ่งทำให้หน้าเราดูตอบ ดูมีอายุ ดูหย่อนคล้อย
- ในผู้ชายส่วนมากจะทำให้ดูเหมือนผอมลง ดูโทรม แต่บางคนจะดูหล่อขึ้น
- ในผู้หญิง การที่กระดูกยุบตัวลง เนื้อน้อยลง จะทำให้ดูโทรม ดูมีอายุขึ้น
เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป ใต้ตาจะยุบลงทุกคน จะเป็นจุดแรกที่หมอแนะนำให้ฉีด อย่างสมัยก่อนประมาณ 5 ปีจะฮิตการเติมร่องแก้ม เพราะคนจะกังวลว่าร่องแก้มทำให้ดูมีอายุ แต่การเติมร่องแก้มอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เติมใต้ตาด้วยทำให้หน้าดูแปลก ขาดความฮาโมนี่ของหน้า ร่องแก้มเต็มใต้ตาลึก จะดูหน้าอูม ๆ ดูผิดธรรมชาติ
การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นตำแหน่งแรกที่เติมปุ๊ปแล้วได้ฮาโมนี่ คือเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะว่าใต้ตาจะเป็นจุดที่ยุบลงตำแหน่งแรก และเป็นจุดที่ควรจะเติมเป็นตำแหน่งแรก เมื่อคนไข้เข้ามาปรึกษาหมอก็จะประเมินว่าร่องแก้มกับใต้ตาจุดไหนควรเติมมากกว่ากัน และประเมินตามความเหมาะสมแล้วแต่เคส
ตัวอย่างรีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หลังฉีดแล้วจะไม่มีอาการบวม เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะมองไม่เห็นว่าพึ่งไปฉีดมา แต่เมื่อเวลาจับหรือล้างหน้า ก็จะรู้สึกว่ามีเนื้อของฟิลเลอร์อยู่ ซึ่งการบวมของส่วนนี้เกิดจากการที่เข็มเข้าไปในผิว ไม่ใช่อักเสบบวมแดงเพราะตัวยา ประมาณ 3 วันก็เริ่มดีขึ้น เข้าที่เต็มที่ใช้เวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ และหมอก็จะนัดมาดูผล และส่วนไหนที่มันยังขาดอยู่คนไข้ก็ค่อยเติมเพิ่ม อีกอย่างที่คลินิกเราใช้ฟิลเลอร์แท้ปลอดภัย 100% สามารถตรวจสอบเลขล็อตบริษัทที่ผลิตได้ครับ
Q : ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายหรือไม่ ?
A :
ถ้าใช้ฟิลเลอร์แท้ และหมอที่มีประสบการณ์ ปลอดภัยแน่นอน แต่…สมัยก่อนฟิลเลอร์ของแท้ราคาจะค่อนข้างสูง ราคาต้นทุนของซิลิโคนเหลวซีซีหนึ่งไม่ถึงร้อย ทำให้บางที่จะใช้ฟิลเลอร์ปลอม..
ฟิลเลอร์ปลอมมีหลายรูปแบบมีทั้งแบบซิลิโคนเหลว แบบที่เป็นฟิลเลอร์แต่ว่าไม่บริสุทธ์ และก็ฟิลเลอร์ของปลอมที่ไม่บริสุทธิ์ ละลายออกไม่ 100% ถ้าเป็นฟิลเลอร์แท้จะละลายออก 99% อีก 1% ที่เหลือจะเป็นคอลลาเจนอีลาสตินที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา ซึ่งจะดีกว่าตอนก่อนฉีด
ฟิลเลอร์ที่เราฉีดเข้าไปจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวบริเวณรอบ ๆ ของตัวฟิลเลอร์ชุ่มชื้นขึ้น เหมือนมีน้ำมาหล่อเลี้ยง และจะดูดน้ำจากผิวบริเวณรอบ ๆ มาอุ้มไว้ แล้วก็คอยเลี้ยงผิวบริเวณนั้น ทำให้คอลลาเจนกับอีลาสตินบริเวณนั้นของร่างกายเราสร้างขึ้นมาด้วย ต่อให้ฟิลเลอร์สลายได้หมดคอลลาเจนของร่างกายเราก็ยังเหลืออยู่ ซึ่งดีกว่าตอนที่ยังไม่ได้ทำอะไร เหมือนกับช่วยชะลอผิวเราไว้ด้วยครับ
Q : หากใช้ฟิลเลอร์ปลอมผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ? และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง
A :
ฟิลเลอร์ปลอมมี 3 แบบคือแบบที่ไม่สลาย แบบที่ไม่บริสุทธิ์ และแบบที่สลายไวมาก
- แบบที่ 1 แบบที่ไม่สลาย เมื่อฉีดเข้าไปแล้วก็จะเกิดเป็นซิลิโคน สุดท้ายก็ต้องไปผ่าตัดขูดออก ช่วงแรก ๆ ซิลิโคนก็จะนิ่ม ๆ ผ่านไป 1 ปี จะเริ่มแข็ง 2-3 ปี เริ่มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จน 4-5 ปี จะเริ่มคลำเป็นไต ๆ แข็ง ๆ
การที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมแล้วอยู่ได้นานขนาดนั้น สักพักจะเริ่มตก เพราะว่าเหมือนกับเราเอาก้อนที่มีน้ำหนักไปฝากไว้บนใบหน้า สักพักก้อนนั้นจะไม่อยู่ตรงที่เดิม จะค่อย ๆ หย่อน ๆ ลงมา และเริ่มทำให้หน้าผิดรูป ท้ายที่สุดก็ต้องไปผ่าตัดขูดออก อาจจะทำให้โครงสร้างผิวบริเวณนั้นเสียไป - แบบที่ 2 แบบที่ไม่บริสุทธิ์จะใกล้เคียงกับฟิลเลอร์แท้ แต่ว่าผลเสียของมันคือจะสลายออกไม่หมด และกระตุ้นให้เกิดพังผืดค่อนข้างเยอะ ส่วนมากพวกนี้จะอยู่ได้ไม่นาน ต้องฉีดบ่อย พอต้องฉีดบ่อยก็จะเกิดเป็นพังผืดสะสมเยอะขึ้น สุดท้ายก็เป็นก้อนได้เหมือนกัน ซึ่งแบบนี้ราคาสูงขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังถูกกว่าของแท้
- แบบที่ 3 ฟิลเลอร์ปลอมที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน (สลายไว) แบบนี้อาจจะสามารถสลายหมดได้ แต่ว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึง 6 เดือน อยู่ได้เพียง 3-4 เดือน ซึ่งคนไข้ต้องเสียเงินฉีดบ่อย ๆ อย่างซิลิโคนเหลว
ปัจจุบันแทบไม่มีคลินิกไหนใช้แล้ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้กระแสสื่อโซเชียลไปไว ไม่ค่อยมีคลินิกไหนกล้าใช้ซิลิโคนเหลว ก็ยังมีพวกเคสเก่า ๆ หรือหมอกระเป๋าที่ยังใช้อยู่ ก็จะเริ่มมีปัญหาช่วงสัก 3-4 ปี กับแบบที่ 2 แบบที่ไม่บริสุทธิ์ จะเจอเยอะเพราะเป็นกึ่ง ๆ ฟิลเลอร์ปลอม ก็จะเป็นการตกค้างและหลังจากนั้นซักประมาณ 2-3 ปี คนไข้ก็จะเริ่มมีปัญหา
ส่วนแบบที่ 3 แบบสลายไวอันนี้ก็เจอเยอะเหมือนกันเพราะราคาถูก ทำให้คนไข้ต้องเสียเงินบ่อย ถ้าคิดรวม ๆ กันแล้วถือว่าแพงกว่าฉีดของแท้อีก เพราะของแท้อยู่ได้เป็นปี แต่ถ้าเป็นของปลอมที่สลายไว 2-3 เดือนยุบแล้วก็ต้องไปฉีดเพิ่ม เหมือนเสียเงินฟรีแล้วก็เจ็บตัวบ่อย
Q : จริงหรือไม่ ? ถ้าฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่ฉีดอีกจะเหี่ยวกว่าเดิม
A :
ไม่จริงครับ อาจจะมีบางเคสที่เป็นแบบนั้น แต่สาเหตุอาจจะเป็นที่ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการช่วยชะลอมากกว่า ไม่ใช่ว่าฉีดแล้วหน้าจะแย่กว่าเดิม หน้ายังดีกว่าเดิมอยู่ครับ ยิ่งถ้าเราไม่ฉีด หน้าจะยิ่งไปไวกว่านั้นอีกไม่ได้เกี่ยวกับตัวยาครับ
เมื่ออายุ 25-30 ปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะ ถ้าฉีดฟิลเลอร์หน้าอายุ 30 ปี อาจจะเหลือซัก 27-28 ปี คือช่วยชะลอวัยแต่ก็ยังเป็นไปตามอายุ ไม่ใช่ว่าพอฉีดแล้วหยุดฉีดหน้าจะแย่ลง ยังดีกว่าเดิมอยู่ไม่ใช่แย่ลง ถือว่าเป็นความเชื่อที่ผิดครับ
Q : ฟิลเลอร์ใต้ตาตัวไหน ? ได้ผลดี เห็นการเปลี่ยนแปลงชัด
A :
แบรนด์ฟิลเลอร์ที่น่าเชื่อถือจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ
- Restylane
- Juvederm
ทางคลินิกจะเลือกใช้ตัวที่เห็นผลดี ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ Restylane จะเน้นการคงรูปของโมเลกุลก็คือฉีดแล้วไม่ฟูเยอะ ซึ่งทางคลินิกก็จะเลือกใช้ของ Restylane ฉีดใต้ตามาตลอด แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ ฟิลเลอร์Juvederm ก็พัฒนาเป็นรุ่นที่ฉีดแล้วไม่ค่อยฟูเยอะด้วย
จริง ๆ จะมีให้เลือกใช้ทั้ง 2 แบบ ซึ่งราคาก็แตกต่างกัน โดย 2 ตัวนี้ลักษณะโมเลกุลใกล้เคียงกัน คือฉีดแล้วจะไม่ค่อยฟู และก็เหมาะกับตำแหน่งใต้ตาการฟูเยอะมันมีข้อดีข้อเสีย ถ้าในตำแหน่งที่เราฉีดแล้วอยากให้มันเต็ม เช่น ร่องแก้ม ขมับ เราจะใช้ตัวที่ฟูเยอะ เช่น Juvederm ultra plus xc หรือว่าเป็นกลุ่มที่จะอุ้มน้ำเยอะหน่อย แต่ถ้านำมาฉีดตำแหน่งใต้ตา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผิวค่อนข้างบาง บางทีฟูเยอะก็จะดูบวม ไม่สวย เราก็ต้องเลือกใช้ตัวที่มันฟูน้อยลงครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ