ร้อยไหม
สารบัญ ร้อยไหม
Q : จริงหรือไม่ ? ที่ร้อยไหมช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
A : ไม่จริงครับ ขึ้นอยู่กับโครงหน้าคนไข้มากกว่า ไหมละลายจะมีอยู่ 2 แบบ ก็คือ
ภาพเปรียบเทียบไหมเรียบ (mono) เส้นบน กับไหมก้างปลา (barb) เส้นล่าง การร้อยไหม mono ในสมัยก่อนไม่ค่อยเห็นผลเนื่องจากไหมmonoไม่มีเงี่ยงที่ช่วยในการดึงผิวที่หย่อนคล้อย
1.ไหมเรียบ (mono) ซึ่งเส้นไหมจะเรียบ ๆ บาง สั้น ๆ ไม่ยาวมาก ถ้าเราเห็นตอนหมอร้อยส่วนมากจะยาวไม่เกิน 6 ซม. ใช้ร้อยเพื่อให้ผิวดูฟูขึ้น หลักการคล้าย ๆ ฟิลเลอร์ คือร้อยไปเพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างอีลาสติน แต่ข้อเสียคือถ้าเราร้อยซ้ำกันถี่มากเกินไป (ใช้จำนวนเส้นเยอะ และการที่ทำบ่อยเกินไป) ก็จะเกิดเป็นพังผืด เพราะไหมเป็นวัสดุ PDO ซึ่งก็ถือว่าเป็นไหมละลายจะทำให้เกิดอีลาสตินขึ้นมา ถ้าเรามาใช้แทนฟิลเลอร์ เช่น ร้อยเติมร่องแก้ม ร้อยเติมใต้ตา ก็จะเกิดอีลาสตินค่อนข้างเยอะ ทำให้โครงสร้างผิวในอนาคตมีปัญหา จะติดเป็นพังผืด
เพราะฉะนั้น เราก็จะมาใช้ในจุดที่จำเป็นจริง ๆ เช่น ในจุดที่เติมฟิลเลอร์ไม่ได้ บางคนจะมีริ้วรอยเวลายิ้มตรงมุมปากคล้าย ๆ ลักยิ้ม เราสามารถใช้ไหม PDO เส้นเรียบ ๆ วางขั้นเพื่อให้ผิวหนาขึ้น และจะพับยากขึ้น ตรงนี้จะเป็นตำแหน่งที่ใช้ หรือบางเคสที่ดื้อโบท็อกซ์ มีปัญหาหางตา แต่ว่าไปเผลอฉีดของปลอมมาจนดื้อโบท็อกซ์ เราสามารถใช้ไหมเส้นเล็ก ๆ ร้อยเก็บริ้วรอย บริเวณหน้าผาก หางตาได้ แต่ถ้าไม่ได้ดื้อโบท็อกซ์ก็ควรจะใช้โบท็อกซ์มากกว่า พูดง่าย ๆ ว่าการร้อยไหมจะช่วยในส่วนที่ โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เข้าไม่ถึงมากกว่า
2.ไหมอีกแบบจะเส้นใหญ่ และยาวขึ้น มีตะขอไว้เกี่ยวผิว เส้นหนาขึ้นมา มีเงี่ยงคล้าย ๆ ก้านกุหลาบหรือก้างปลาอยู่ที่ผิวของเส้นไหม ไหมนี้จะใช้ในการดึง ก็คือเราจะเข้าเข็มบริเวณขมับส่วนบน ลงมาที่แก้มส่วนล่าง แล้วก็ปล่อยเส้นไหมตามแนวยาวตั้งแต่แก้มจนถึงขมับ และดึงขึ้น ไหมจะมีตัวล็อคคล้าย ๆ กิ๊บติดผมเป็นเงี่ยงสองด้านเอาไว้ล็อค ดึงขึ้นไปปุ๊ปมันก็จะล็อคเอาไว้ ทำให้แก้มส่วนล่างถูกดึงขึ้นไปข้างบน ซึ่งจะเห็นผลทันที แล้วถ้าใช้เทคนิคที่ถูกต้อง รวมไปถึงการประเมินของแพทย์ที่เหมาะสม หน้าก็จะไม่ค่อยบวม หรืออาจจะมีจุดที่บวมได้บ้าง แต่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ก็จะเข้าที่ ทำให้หน้ายกขึ้นทันทีครับ
Q : ร้อยไหมดึงร่องแก้มได้ไหม ?
A : ได้ครับ แต่ว่าผลออกมาจะไม่ค่อยสวย
เพราะว่าเนื้อบริเวณร่องแก้มที่เราดึงไปจะไปอยู่บริเวณตรงโหนกแก้ม แล้วทำให้หน้าดูเหลี่ยมขึ้น โหนกใหญ่ขึ้น ทำให้ดูไม่สวย ร่องแก้มที่ดีคือการเติมฟิลเลอร์มากกว่า อันนี้คือไหมเงี่ยงที่ใช้ดึง พอเราดึงแก้มส่วนล่าง ผิวที่ดีขึ้นอีกส่วนหนึ่งก็คือเหนียง
Q : ร้อยไหมตรงเหนียงได้ไหม ?
A : สามารถทำได้ครับแต่ต้องไม่ร้อยจำนวนเส้นเยอะเกินไปหรือร้อยตื้นเกินไป
ไหมละลายสามารถกระตุ้นให้ร่างกายเราสร้าง elastin ทำให้ผิวบริเวณที่ร้อยเกิดการหดกระชับได้ และถ้าร้อยในชั้นไขมันจะช่วยเร่งการสลายไขมันได้ครับ ซึ่งสำหรับการร้อยไหมบริเวณเหนียง สามารถช่วยให้ไขมันน้อยลงและกระชับขึ้นได้จริง แต่ไม่ควรร้อยจำนวนเส้นเยอะเกินไป หรือร้อยตื้นเกินไปจะทำให้ elastinซ้อนทับกันมากเกินไปจนกลายเป็นผังผืดได้ เนื่องจากตรงเหนียงชั้นผิวหนังจะบางกว่าที่ใบหน้าถ้าเกิดผังผืดจะเห็นได้ชัด
Q : จริงหรือไม่ ? ที่ผลจากการร้อยไหมอยู่ได้ 3-5ปี เซลล์บางคนบอกว่าอยู่ได้ถาวร ?
A : ไม่จริงครับ
ตามสเป็กของไหมละลายแบบปลอดภัยที่มีอยู่ในปัจจุบันทุกชนิดละลายสลายหมดไม่เกิน 2 ปี ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผลในการร้อยไหมจะอยู่ได้ 3-5 ปี ตามที่เซลล์ของบางคลินิกโฆษณา (วัสดุ PDO ละลายหมดใน 4-6 เดือน, วัสดุ PLLA ละลายหมดใน 12-18 เดือน, วัสดุ PCL ละลายหมดใน 18-24 เดือน)
และในบางเคสถึงแม้ว่าเส้นไหมจะยังละลายไม่หมด แต่ผิวของคนไข้ในบางเคสที่ขาดคอลลาเจน-อีลาสติน ก็สามารถหลุดออกจากเส้นไหมได้ก่อนที่ไหมจะละลาย ก็ยิ่งทำให้ผลอยู่ได้สั้นลงอีก
ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงของเซลล์บางคนที่บอกว่าร้อยไหมรุ่นพิเศษได้ผลอยู่นานเกิน 3 ปีครับ(เซลล์บางคนอ้างว่าอยู่ได้ 5-10 ปี) ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้(ปี 2019) แม้ว่าจะใช้ไหมชนิดที่ละลายช้าที่สุด เทคนิคที่ดีที่สุด 80% ของทุกเคสก็ให้ผลอยู่ได้แค่ 6-12 เดือน มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะอยู่ได้เกิน 1 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นกับอีลาสตินในเนื้อเยื่อของคนไข้และการปฏิบัติตัวของคนไข้ด้วย อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การร้อยไหมอยู่ได้นานขึ้นคือ อีลาสตินที่เนื้อเยื่อของคนไข้สร้างขึ้นจากการร้อยไหม คล้าย ๆ กับกาวที่ยึดเกาะทำให้เนื้อที่ถูกดึงไม่หย่อนลงมาแม้ว่าไหมจะละลายไปแล้วก็ตาม ซึ่งกาวที่ว่านี้ส่วนมากจะอยู่ได้ 3-6 เดือนหลังจากที่ไหมละลาย
เซลล์บางคนอ้างว่ามีการร้อยไหมที่อยู่ได้ถาวร อันนี้ยิ่งต้องระวังอยากมากเลยครับ เพราะไหมที่ใช้จะเป็นไหมชนิดที่ไม่ละลาย(ทำจากซิลิโคน) เมื่อผ่านไป 2 ปี ผิวหนังจะเริ่มผิดรูปจากผังผืดที่เกิดจากไหมชนิดนี้ ในกรณีนี้จะแก้ไขได้ยากมาก ดังนั้นควรศึกษาชนิดของไหมที่ร้อยให้ดีก่อนตัดสินใจทำครับ
วัสดุที่ใช้ ร้อยไหมก้างปลา เป็นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย เช่นใช้ในการผ่าตัดเย็บหัวใจ ได้แก่ PDO PLLA และ PCL ในขณะที่ไหมละลายจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวบริเวณที่ร้อยไหมกระชับขึ้นแข็งแรงขึ้นด้วย
Q : เมื่อไหมละลายหมดแล้วคนไข้อยากร้อยเพิ่ม สามารถทำได้เลยหรือไม่ ?
A : ประมาณ 3-4 เดือนก็ทำได้แล้วครับ
ถ้าเห็นว่าเริ่มตก หรือว่าอยากให้กระชับเพิ่มขึ้นก็ทำได้ 3-4 เดือนถือว่าเป็นระยะที่เหมาะสม เพราะว่าไหมเดิมก็ละลายหมดแล้ว แต่ส่วนมากที่เห็นคนไข้มาทำซ้ำก็ประมาณ 6-12 เดือน เพราะว่ายังรู้สึกว่าหน้ายังยกกระชับอยู่ครับ
Q : ร้อยไหมตรงส่วนไหนเห็นผลดี เห็นการเปลี่ยนแปลงชัด ?
A : ตรงแก้มครับ
แก้มที่ดูตก ๆ ย้อย ๆ ก็จะดึงขึ้นทันที กระชับขึ้นทันที ใช้งบประมาณไม่เยอะ เห็นผลทันที อยู่ได้ระยะเวลา 6-12 เดือน ขึ้นกับชนิดของเส้นไหมละลายที่ใช้ร้อย
Q : ร้อยไหมอะไร ชนิดไหน ? ด้วยเทคนิคอะไรที่เห็นผลดีและเห็นการเปลี่ยนแปลกชัด
A : คำว่าร้อยไหมส่วนมากคนไข้ก็ต้องการเรื่องความกระชับครับ
ก็ต้องเป็นไหมก้างปลา ด้วยเทคนิคดึงแก้ม อย่าไปดึงร่องแก้ม อย่าไปดึงใต้ตา เพราะผลที่ออกมาจะทำให้โหนกใหญ่ขึ้น ไม่สวย ดึงแก้มที่ห้อยตกขึ้น แบบนี้ดีแล้วครับ ส่วนเทคนิคนั้นแต่ละคลินิกเทคนิคจะไม่เหมือนกัน อยากเชื่อรีวิวที่เป็นภาพถ่าย ควรดูจากรีวิวที่เป็นคลิปก็จะเห็นของจริงว่าแต่ละคลินิกร้อยไหมแล้วผลออกมาแตกต่างกันอย่างไร คนไข้ก็สามารถพิจารณาเลือกคลินิกได้ตรงตามความต้องการครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ