“สิว” เป็นปัญหาผิวหน้าที่พบได้บ่อย ตั้งแต่วัยเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น แต่บางคนแม้จะพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้วแต่ก็ยังเกิดปัญหาสิวซ้ำซาก เป็นสิวเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ หน้าไม่ใส ไม่เกลี้ยงเกลาเพราะมีสิวมากวนใจตลอด และยังทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวไว้ จนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปเลยก็มีครับ
ในบทความนี้ หมอจะมาเจาะลึกว่า สิวเกิดจากอะไร สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวมีอะไรบ้าง สิวมีกี่แบบ กี่ประเภท วิธีรักษาสิวแบบไหนที่ดีที่สุด พร้อมแนะนำวิธีดูแลตัวเองไม่ให้กลับมาเป็นสิวอีก ติดตามได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ สิว
สิว คืออะไร
สิว (Acne) คือ การแสดงออกของโรคทางผิวหนังที่มีการอักเสบเรื้อรังของ pilosebaceous unit ได้แก่ รูขุมขน (follicles) และต่อมไขมัน (sebaceous gland) ทำให้เกิดตุ่มนูนบนผิวหนัง ที่เรียกว่า สิวอุดตัน (Comedone) หรือ สิวผด และถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นที่อยู่บริเวณผิวหนัง เช่น Propionibacterium acnes (P.acnes), Malassezia spp. หรือ Staphylococcus epidermidis (S.epidermidis) เกิดการแบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น จะดึงดูดเซลล์เม็ดเลือดขาวเข้ามารวมกลุ่มอยู่ในตุ่มสิว และเอนไซม์ช่วยในการย่อยน้ำมัน กระตุ้นให้สิวอุดตันเกิดการอักเสบ เห็นเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มมีหนอง หรือเรียกว่า “สิวอักเสบ” และในรายที่เกิดการอักเสบมาก ๆ อาจมีอาการอักเสบบริเวณกว้างลึกลงไปในชั้นผิว ที่เรียกว่า “สิวหัวช้าง” นั่นเอง โดยสามารถพบได้ทั้งบริเวณใบหน้า รวมถึงบริเวณหลัง หรือหน้าอกครับ
สาเหตุการเกิดสิว
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด เพราะทุกคนเมื่อก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จะพบระดับฮอร์โมน Androgen ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในเพศชาย ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าว จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น ผลิตไขมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน จนเกิดเป็นสิวตามมาได้ครับ
ส่วนในเพศหญิง บางรายจะมีสิวเห่อช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือขณะมีประจำเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมน Progesterone เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการบวมของรูขุมขน และการคั่งของน้ำในร่างกาย เกิดการอุดตันของสิว จนเกิดสิวอักเสบตามมาในที่สุด
- การใช้เครื่องสำอาง
การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ลงบนผิว ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิว เพราะครีม แป้ง หรือเครื่องสำอางต่าง ๆ มีโอกาสเข้าไปอุดตันรูขุมขนและเกิดสิวตามมาได้ครับ ในผู้ที่มีปัญหาสิวบ่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือถ้าจำเป็นต้องใช้ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และมีน้ำเป็นส่วนประกอบ (oil-free, water-based) และควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ประเภท noncomedogenic และ non-acnegenic ครับ
- การรับประทานอาหาร
การรับประทานอาหารรสหวาน มัน ของทอด แป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้เกิดสิวอักเสบมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีงานวิจัยรองรับว่าเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดสิวครับ หมอแนะนำว่าหากรับประทานชนิดใดบ่อย ๆ แล้วเกิดสิวเพิ่มมากขึ้น ให้หลีกเลี่ยงหรือหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ จะดีกว่าครับ
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต
พฤติกรรมที่ส่งผลให้เกิดสิวมากขึ้น เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด การสูบบุหรี่ การทำความสะอาดร่างกาย ล้วนมีผลทำให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงตามการใช้ชีวิต และการเจรฺิญของจุลชีพบนผิว ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบครับ
- มลภาวะและสิ่งแวดล้อม
มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นละออง ควัน ส่งผลให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย โดยฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเกาะติดและอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิวได้ในที่สุด นอกจากนี้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องสวมหน้ากากอนามัย ผิวจะเกิดการเสียดสีและหน้ากากอับชื้นจากลมหายใจ แบคทีเรียที่ผิวจะเจริญที่รูขุมขนได้มากขึ้น ทำให้เกิดสิวทั้งอุดตันและอักเสบตามมาได้ง่ายขึ้นครับ
- ภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism/Hyperandrogenemia)
ภาวะแอนโดรเจนเกินเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมน Androgen มามากเกินไป เกิดได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยเฉพาะในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมาก มักจะทำให้เกิดสิวระยะรุนแรงและเกิดขึ้นรวดเร็ว ร่วมกับมีขนขึ้นตามร่างกายมากกว่าปกติ ผมร่วง ศีรษะล้าน ประจำเดือนมาไม่ปกติ โรคที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่ PCOS, CAH, Adrenal neoplasia และ Ovarian neoplasms
4 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิว
- ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไป (Excessive sebum production)
- การผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนผิดปกติ (Follicular Hyperkeratinization)
- การเจริญของแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (Increase P. acnes colonization)
- การอักเสบ (Inflammation)
ในการแก้ปัญหาสิวที่ได้ผล จำเป็นต้องทราบก่อนว่าปัญหาสิวนั้นเกิดจากสาเหตุใด ควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินสภาพผิว หาสาเหตุการเกิดสิว และกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมครับ
สิวมีกี่ประเภท
สิว แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- Non- inflamed lesions สิวชนิดไม่อักเสบ
1.1 Blackheads (Open comedone) สิวอุดตันหัวเปิด สิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีดำหรือเหลืองขนาดเล็กบนผิวหนัง โดยสีดำหรือเหลืองดังกล่าวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุชั้นในของรูขุมขนผลิตเม็ดสี สามารถบีบออกหรือกดให้ออกมาจากใต้ผิว แต่อาจเกิดการอักเสบและเป็นรอยสิวได้
1.2 Whiteheads (Closed comedone) สิวอุดตันหัวปิด สิวหัวขาว มีลักษณะคล้ายสิวหัวดำแต่จะมีสีขาว แน่น และยากต่อการบีบออก รากสิวอยู่ลึกกว่าและรักษาได้ยากกว่าสิวหัวดำ มีโอกาสเกิดการติดเชื้อและพัฒนาเป็นสิวอักเสบ
- Inflamed lesions สิวชนิดอักเสบ
2.1 Papules/Red papules สิวแบบตุ่ม สิวผื่น เป็นสิวที่เป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็กอยู่ภายในผิว สัมผัสแล้วเจ็บ มักเป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่เปลี่ยนมาจากสิวอุดตัน
2.2 Pustules สิวหนอง หรือสิวหัวหนอง มีลักษณะคล้ายสิวแบบตุ่ม แต่มีหนองสีขาวให้เห็นอยู่ตรงกลาง พัฒนามาจากสิวแบบตุ่ม โดยมักจะเกิดจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงขึ้น
2.3 Nodules สิวอักเสบลึก สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก เป็นสิวขนาดใหญ่มากกว่า 8 mm โดยอาจพบเป็นหลายหัวสิวที่อยู่ติดกัน มีการอักเสบอย่างรุนแรง จะรู้สึกเจ็บ ปวด แม้ไม่ได้มีการสัมผัส มักเกิดจากการบีบหรือกดสิว ทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้สิวยิ่งอักเสบบวมแดงรุนแรงมากขึ้น
2.4 Cyst สิวซีสต์ สิวฝี เป็นสิวที่เกิดการอักเสบรุนแรงที่สุด มักพัฒนามาจากสิว Nodules ที่ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี ทำให้ผนังของโพรงขนถูกทำลายแตกออก แบคทีเรียและเศษเซลล์หลุดเข้าสู่ผิวชั้นใน เกิดเป็นถุงอักเสบขนาดใหญ่และลึก จะเห็นเป็นลักษณะก้อนหนองขนาดใหญ่ อาจปนเลือดในบางราย คล้ายถุงใต้ผิวหนัง สิวประเภทนี้แม้จะรักษาสิวจนหายก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดรอยแผลเป็นถาวรได้
วิธีประเมินความรุนแรงของปัญหาสิว
- ระยะไม่รุนแรง : มีสิวอุดตันเป็นส่วนใหญ่ / สิวแบบตุ่ม, สิวหัวหนอง น้อยกว่า 10 จุด
- ระยะรุนแรงปานกลาง : มีสิวแบบตุ่ม, สิวหัวหนอง น้อยกว่า 10 จุด และ สิวอักเสบลึก น้อยกว่า 5 จุด
- ระยะรุนแรง : มีสิวแบบตุ่ม, สิวหัวหนอง, สิวอักเสบลึก และสิวซีสต์ จำนวนมาก อักเสบเป็นเวลานาน ควรพบแพทย์โรคผิวหนังเพื่อทำการรักษา
สิวเกิดขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง
- สิวบนใบหน้า ใบหน้า เป็นบริเวณที่พบปัญหาสิวมากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า T-Zone ได้แก่ หน้าผาก จมูก และคาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เรียงกันเป็นรูปคล้ายตัว T เพราะเป็นจุดที่มีต่อมไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้า
- สิวที่หลัง พบได้ประมาณ 50% ของคนที่มีปัญหาสิว
- สิวที่หน้าอก พบได้ประมาณ 15% ของคนที่มีปัญหาสิว
- นอกจากนี้ยังพบสิวที่คอ ไหล่ ต้นแขนได้ครับ
วิธีรักษาสิว
วิธีรักษาสิวที่ถูกวิธี จะเน้นที่การลดรอยสิวเดิมและป้องกันการเกิดสิวใหม่เป็นหลัก โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มการรักษาได้ดังนี้
การรักษาสิวโดยใช้ยาทาเฉพาะที่
การใช้ยาทารักษาสิว เป็นการใช้ยาทาบนผิวหนังที่เป็นสิวเพื่อรักษาสิวอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ มักใช้ในผู้ที่มีปัญหาสิวไม่รุนแรง
โดยยาทาที่ใช้ เช่น กลุ่มยาปฏิชีวนะ มีจุดประสงค์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการทำให้เกิดสิวอักเสบ benzoyl peroxide ช่วยลดการระคายเคืองของผิว และ Retinoid หรืออนุพันธ์วิตามิน A มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดการอุดตันรูขุมขน และเสริมสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของยากลุ่มอื่น ๆ ที่ทำให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Salicylic acid, Azelaic acid และ sulfur เป็นต้น
วิธีการใช้ยารักษาสิว แพทย์จะแนะนำให้ทาทิ้งไว้ 5-10 นาที ทำต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์จึงจะเห็นผล ข้อควรระวังของยาทารักษาสิวคือจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย อาจทำให้เกิดรอยแดง แห้งหรือลอกได้ จึงควรทาบาง ๆ และเริ่มที่ปริมาณน้อย ๆ และการใช้ยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ครับ
การรักษาสิวโดยการทานยา
ในผู้ที่มีสิวอักเสบปานกลางถึงระยะรุนแรง การใช้ยาทาอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องใช้ยาสำหรับรับประทานร่วมด้วย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ เช่น Tetracyclin, Macrolides และ Amoxycilin เป็นต้น ซึ่งยากลุ่มนี้จะใช้เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
และยาอีกกลุ่มคือ ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามิน A (Isotretinoin) จะใช้ในรายที่มีสิวอาการรุนแรง ดื้อยาปฏิชีวนะ หรือสิวที่มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดแผลเป็น โดยยามีฤทธิ์กดการทำงานของต่อมไขมันทำให้ผลิตไขมันลดลง ลดปริมาณเชื้อ P. acnes ลดการอักเสบของสิว และยับยั้งการสร้างคอมีโดน (comedone)
นอกจากนี้ยังมียาที่ใช้ในการรักษาสิวด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral Contraceptives) และยากลุ่ม Gonadotropin-Releasing Hormone Agonists (GnRH Agonists) ที่มีฤทธิ์ในการรักษาสมดุลของฮอร์โมน Androgen ในร่างกายครับ
การรักษาสิวโดยการรับประทานยา ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะยาที่ใช้ในการรักษา อาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ซึ่งต้องระมัดระวังในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ เพราะอาจทำให้มีการระคายเคือง ส่งผลต่อการทำงานของตับ กล้ามเนื้อ ไขมันในร่างกาย และไม่ควรทานยาขณะตั้งครรภ์ เพราะจะส่งผลให้ทารกเกิดความพิการได้ครับ
การรักษาสิวโดยวิธีทางกายภาพ
- การกดสิว
การรักษาสิวด้วยการกดสิว คือการนำหัวสิวอุดตันที่อยู่ใต้ผิวหนังออกได้เร็วขึ้น เพราะถ้าปล่อยไว้อาจเกิดเป็นสิวอักเสบตามมาได้ โดยการกดสิวเป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัวมาก ปลอดภัย แต่ต้องทำโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือสะอาดปลอดเชื้อเท่านั้น เพราะถ้ากดสิวออกไม่หมด อาจเกิดปัญหาสิวอักเสบตามมาได้ หรือถ้ากดสิวไม่ถูกวิธี อาจจะทิ้งรอยดำ รอยแดง หลุมสิว ที่ยากต่อการแก้ไขได้ครับ
- การฉีดยาใต้หัวสิว, การฉีดสิว
การฉีดสิวเป็นการรักษาสิวโดยใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ฉีดเข้าไปใต้หัวสิว (Intralesional corticosteroid injections) ใช้รักษาสิวอักเสบแบบตุ่ม สิวหนอง และสิวอักเสบลึก สิวซีสต์ สิวหัวช้าง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ อาจเกิดรอยบุ๋มรอบจุดที่ฉีดหลังผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ และกลายเป็นรอยแผลเป็นถาวรได้ มีอาการช้ำจากการฉีด ผิวหนังอักเสบได้ จึงควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคเบาหวานชนิดควบคุมอาการไม่ได้ หัวใจวาย ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง โรคสะเก็ดเงิน และผู้มีประวัติแพ้ยาไตรแอมซิโนโลน ควรหลีกเลี่ยงการฉีดสิวครับ
- วิธี Chemical peeling
การรักษาสิวด้วยวิธี Chemical peeling คือการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น AHA, BHA หรือ TCA ทาลงไปที่ผิวหนังด้วยปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ผิวหนังชั้นนอกเกิดการหลุดลอกและซ่อมแซมผิวชั้นบนขึ้นมาใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เรียกว่า การผลัดเซลล์ผิว นั่นเองครับ ผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่จึงนุ่ม ดูสดใสขึ้น และช่วยลดการอุดตันของสิว ลดการเกิดสิวได้ครับ สารเคมีแต่ละตัวที่จะนำมาใช้ มีความสามารถในการซึมผ่านชั้นผิวที่ความลึกแตกต่างกัน และความเข้มข้นที่ใช้ก็ส่งผลต่อการรักษา ดังนั้นควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นครับ
การรักษาเสริม adjunctive therapy
- การใช้สกินแคร์เพื่อรักษาสิว
หากเริ่มเป็นสิว สิ่งแรกที่คนมักจะนึกถึงคือการทาครีม ทาสกินแคร์ เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องเจ็บตัว ซึ่งการรักษาสิวด้วยสกินแคร์จะเหมาะกับคนที่มีสิวไม่มาก อยู่ในระยะไม่รุนแรงจนถึงระยะปานกลาง การเลือกใช้สกินแคร์มีส่วนสำคัญมากกับผลการรักษาครับ ควรเลือกใช้สูตรอ่อนโยน มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ , AHA และ BHA เป็นต้น และเป็นสกินแคร์ประเภท Water-based หรือ silicone-based (cyclomethicone, dimethicone) หลีกเลี่ยงสกินแคร์ประเภท oil-based หรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบบกันน้ำ (Waterproof) ครับ แต่การใช้สกินแคร์จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย ๆ ต้องทำต่อเนื่องนานหลายเดือนครับ
- การฉีดเมโสหน้าใส ฉีดวิตามินผิว
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยา สารสกัดที่มีประโยชน์ต่อผิว รวมถึงวิตามินเข้าสู่ชั้นผิว เสมือนเป็นทางลัดในการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ เข้าสู่ผิวโดยตรง โดยเฉพาะสารที่ดูดซึมยาก ทำให้เห็นผลได้ไวกว่าการทาครีมครับ
เมโสหน้าใสจะเน้นในการป้องกันการเกิดสิวใหม่เป็นหลัก โดยจะช่วยบำรุง ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพและแก้ปัญหาต่าง ๆ บนผิวหน้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบ ช่วยขับสารพิษที่สะสมและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้ แก้ไขปัญหาหน้าโทรม นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำ รอยแดงจากสิวให้ดูจางลง ลดรูขุมขนกว้างได้ครับ
โดยการฉีดเมโสหน้าใสจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แนะนำให้ทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้งในช่วง 1 เดือนแรก และทิ้งระยะห่างเป็น 2-3 ครั้งต่อเดือนในเดือนถัดไปเพื่อให้คงสภาพผิวที่แข็งแรง ดูสุขภาพดีไว้ได้ครับ
ตัวยาสำหรับการฉีดเมโสหน้าใสมีหลายยี่ห้อ โดยแต่ละสูตรจะช่วยบำรุงผิวในด้านที่แตกต่างกัน สูตรที่นิยมคือ การฉีดมาเด้คอลลาเจน การฉีด REVs, Tensonez และ Neo glutanex เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใสคืออะไร? อันตรายหรือไม่ ? ข้อควรรู้ก่อนทำเมโสหน้าใส
- การทำเลเซอร์ Laser / Light therapy
ในปัจจุบันเครื่องยิงเลเซอร์มีหลากหลายประเภทมากครับ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาสิวหรือปัญหาผิวหน้าที่เกิดจากสิวได้แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ได้ดังนี้
- เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ CO2
เลเซอร์ CO2 ใช้ในการแก้ไขปัญหาสิวอุดตัน โดยเลเซอร์จะเข้าไปช่วยเปิดช่องทางออกของต่อมไขมัน ให้เกิดการอุดตันน้อยลง และช่วยรักษารอยดำ รอยแดงจากสิว
- Omnilux นวัตกรรมแสงบำบัด (Light therapy)
การบำบัดรักษาสิวด้วยแสง จะใช้แสงสีน้ำเงิน (Omnilux Blue) และสีแดง (Omnilux Revive2) ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิวอักเสบ ลดการอักเสบแดง ควบคุมความมันบนชั้นผิว
- เลเซอร์วีบีม (V beam Pulse dye laser)
เครื่องเลเซอร์แบบ V beam จะเด่นในเรื่องลดรอยแดงจากสิว โดยการส่งความร้อนลงไปยังชั้นผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติใต้ผิวหนังถูกทำลาย เกิดการจัดเรียงตัวของเส้นเลือดใต้ผิวหนังใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน รอยแดงจึงดูลดลงได้ครับ
- พิโคเลเซอร์ (Picosecond Laser)
เครื่องเลเซอร์แบบ Picosecond Laser เป็นการใช้คลื่นพลังงานสูงมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เม็ดสีในผิวเกิดการแตกตัว ใช้ในการลดรอยดำจากสิว กระตุ้นคอลลาเจน และช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นครับ
การทำเลเซอร์เป็นวิธีที่นิยม ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แต่ต้องใช้ความต่อเนื่องในการทำ จึงจะเห็นผลดีครับ ซึ่งรวมราคาคอร์สแล้วค่อนข้างสูง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ ชั้นผิวจะบางลง รอยดำเข้มขึ้นหากใช้พลังงานมากเกินไป และไวต่อแสงมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้า กระ ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและดูแลผิวหลังทำอย่างเคร่งครัดครับ
- การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว
การฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว เป็นการใช้สารไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic acid) เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณที่เป็นหลุมสิว จะช่วยดึงดูดน้ำเข้ามาบริเวณที่ฉีด กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น เรียบเนียนขึ้นได้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความรวดเร็ว ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน และไม่ต้องการเสียเวลาพักฟื้น แต่วิธีนี้จะใช้ได้กับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้นครับ
การดูแลตัวเองเมื่อเกิดสิว
หากมีสิว แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย ก็ควรดูแลไม่ให้สิวลุกลาม หรืออักเสบเพิ่มมากขึ้นครับ หมอแนะนำวิธีดูแลตัวเองหากเป็นสิว ดังนี้
- ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน สบู่อ่อน และน้ำอุ่น แต่ไม่ควรล้างเกินวันละ 2 ครั้ง เนื่องจากการล้างหน้ามากเกินไปจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองครับ
- ไม่ควรบีบ กดสิว เพราะอาจทำให้สิวแย่ลง เกิดเป็นหลุมสิวได้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ควรแต่งอ่อน ๆ ไม่ใช้เครื่องสำอางเยอะเกินไป
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน สังเกตได้จากการพิมพ์บนฉลากของผลิตภัณฑ์คำว่า oil-based หรือ comedogenic ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น water-based หรือ non-comedogenic
- ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ผิวก่อนเข้านอนทุกครั้ง
- หากเป็นสิวจากปัญหาผิวแห้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าประเภท fragrance-free water-based emollient.ซึ่งเป็นประเภทของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่เป็นน้ำมันหรือไขมันหรือมีความสามารถในการละลายน้ำได้น้อย แต่ไม่ก่อตัวเป็นฟิล์มเคลือบผิว ให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นขึ้น
- สระผมเป็นประจำและดูแลไม่ให้ผมปรกบริเวณใบหน้ามากเกินไป
นอกจากการแก้ไขปัญหาสิวแล้ว หมอแนะนำให้เลือกวิธีทำให้หน้าใส ลดความหมองคล้ำที่เหมาะสมกับตนเอง เช่น การเลือกรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าหากไม่มีเวลาหรือต้องการเห็นผลเร่งด่วน ก็มีวิธีช่วยทำให้หน้าใส เช่น การฉีดเมโสหน้าใส การทำเลเซอร์ ซึ่งควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ ประเมินสภาพผิว หาสาเหตุของการเกิดสิวก่อนตัดสินใจทำครับ
วิธีป้องกันการเกิดสิว
สิ่งสำคัญที่ลดปัญหาสิวที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เกิดสิว ปัจจัยหลักที่เราสามารถควบคุมได้คือการทำความสะอาดผิวอยู่เสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อขจัดคราบสกปรกที่เป็นสาเหตุของสิวอุดตันครับ
- ควรล้างหน้าให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน รวมถึงใช้โทนเนอร์เช็ดคราบสกปรกหรือเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนบำรุงผิว
- สระผมเป็นประจำ เพื่อลดไขมันและคราบสกปรกบนเส้นผมที่อาจทำให้เป็นสิวได้
- ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้สะอาดอยู่เสมอ เช่น เปลี่ยนผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ทุกอาทิตย์ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดตุ่ม สิวผด สิวไม่มีหัว แก้มเป็นผื่นผด หรือสิวอักเสบที่แก้มได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- รักษาสภาพผิวให้แข็งแรง ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ เช่น การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ การรับประทานผักผลไม้ การรับประทานวิตามิน อาหารเสริม การฉีดเมโสหน้าใส และการฉีดวิตามินผิว เพื่อบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดสิวในอนาคตได้ครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ