บีบสิว
บีบสิว เป็นการกำจัดสิวรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหากทำไม่ถูกวิธีอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น รอยแผลเป็น การติดเชื้อ และการอักเสบที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น ก่อนที่จะลงมือบีบสิว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจถึงประเภทของสิว และข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ
สารบัญ บีบสิว
รู้จักกับสิวและประเภทของสิว
สิว เป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อย โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบและการติดเชื้อได้ โดยประเภทของสิว สามารถแบ่งได้ตามลักษณะ สาเหตุ ขนาดของตุ่ม และระดับความรุนแรง ดังนี้
1. สิวอุดตัน (Comedonal Acne)
สิวอุดตัน เป็นสิวที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการจับตัวของสิ่งสกปรกกับน้ำมันบนผิว เข้าไปอุดตันในรูขุมขน ไม่มีการอักเสบ แต่จะเป็นตุ่มนูนอยู่บนผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน สิวอุดตันพบได้บ่อยโดยเฉพาะสิวที่หน้าผาก สิวที่คาง และ สิวที่แก้ม แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกัน ดังนี้
- สิวหัวดำ (Blackheads) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีดำ หัวสิวจะเป็นก้อนแข็ง เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วจนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน
- สิวหัวขาว (Whiteheads) คือสิวอุดตันหัวปิดที่มีลักษณะเป็นตุ่มสีขาวแข็ง ๆ ลักษณะจะคล้ายกับสิวผด ต่างกันตรงที่สิวหัวขาวจะมีหัวสิวอยู่ใต้ผิว ส่วนสิวผดไม่มีหัวสิวให้กดออกมาได้
- สิวอุดตันไม่มีหัว (Microcomedone) ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากฮอร์โมนแอนโดรเจน พบได้มากในหมู่วัยรุ่น
2. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สิวอักเสบ ส่วนใหญ่พัฒนามาจากสิวอุดตันที่ใหญ่ขึ้นจนทำให้ผนังรูขุมขนแตก เชื้อแบคทีเรียจึงเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย มีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ได้แก่
- สิวตุ่มนูนแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดง ขนาดไม่เกิน 0.5 cm สัมผัสแล้วจะรู้สึกนูน ๆ กดไม่เจ็บ
- สิวหัวหนอง หรือสิวหนอง (Pustules) คือสิวอักเสบที่มีหนองอยู่ด้านบน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดงหรือขาว เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ร่วมกับมีอาการอักเสบ คัน บวมแดง
- สิวหัวช้าง (Nodules) เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปในผิวหนัง มีหนองสะสมอยู่ภายใน บวม แดง และเจ็บปวดมาก สามารถทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยสิว หลุมสิวได้ง่าย
- สิวซีสต์ (Cysts) มีลักษณะเป็นถุงหนองขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง เป็นสิวที่เกิดการอักเสบรุนแรงมาก อาจมีหนองและปนเลือดในบางราย ทำให้บวมแดงและเจ็บปวด
3. สิวชนิดอื่น ๆ
- สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) คือสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มักพบในช่วงวัยรุ่นหรือระหว่างตั้งครรภ์
- สิวจากการใช้ยา (Drug-Induced Acne) เป็นสิวที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์หรือลิเธียม
- สิวจากเครื่องสำอาง (Cosmetic Acne) คือสิวที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- สิวกลาก (Acne Mechanica) เป็นสิวที่เกิดจากการเสียดสีหรือแรงกด เช่น จากการสวมหมวกกันน็อคหรือเป้สะพายหลัง
บีบสิวดีไหม ?
การบีบสิวเป็นวิธีที่หมอไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะอาจทำให้แบคทีเรียจากสิวแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นของผิว จนสิวลุกลามติดเชื้อมากขึ้น เซลล์ผิวหนังถูกทำลายจนกลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่หรือหลุมสิวถาวรได้
บีบสิวแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
การบีบสิว อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ครับ เช่น
- การอักเสบมากขึ้น : การบีบสิวอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบในบริเวณที่มีสิว ทำให้สิวดูรุนแรงขึ้นและมีอาการบวมแดงมากกว่าเดิม
- การเกิดแผลเป็น: การบีบสิวจะทำให้เกิดแผลเป็นหรือรอยดำบนผิวหน้า ใช้ระยะเวลานานในการรักษาหรือทำให้แผลเป็นหายไปได้ยาก
- การแพร่กระจายของแบคทีเรีย : การสัมผัสหรือบีบสิวทำให้แบคทีเรียจากมือเข้าไปในสิว อาจก่อให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นหรือแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ ของผิว
บีบสิวได้ไหม ? สิวแบบไหนบีบได้ และไม่ควรบีบ
การบีบสิว ไม่สามารถใช้กับสิวทุกชนิดได้ครับ โดยทั่วไปจะเหมาะกับประเภทสิวอุดตัน สิวหัวดำชนิดเปิด สิวหัวขาวชนิดเปิด สามารถกดหรือบีบได้ หากรู้วิธีและใช้เครื่องมือที่สะอาด มีเทคนิคการกดสิวที่ถูกต้อง แนะนำให้กดสิวกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดรอยสิวและหลุมสิวตามมา
ส่วนข้อระวังในการกดสิว คือ ไม่ควรกดหรือบีบสิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง สิวซีสต์ เพราะจะทำให้หนองแตกแทรกในชั้นผิว นำไปสู่การอักเสบ และเกิดแผลเป็นได้ ในกรณีนี้ควรรอให้สิวยุบลงไปเอง หรือหากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีครับ
กำจัดสิวแบบไหนดีที่สุด
การเลือกวิธีการกำจัดสิวที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว ประวัติทางการแพทย์ และประเภทของผิวของแต่ละคน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยกับสภาพผิว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิว หมอแนะนำ 5 วิธีที่เห็นผลดี ดังนี้
1. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยรักษาสิว
ผลิตภัณฑ์หรือสกินแคร์รักษาสิว สามารถนำมาใช้ได้กับสิวที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง มักมีส่วนผสมหรือคุณสมบัติ ดังนี้
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) : ช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) : ช่วยลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกและทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน
- กรดลิโนเลอิก (Azelaic Acid) : ช่วยลดการอักเสบและการเกิดแบคทีเรีย
2. การใช้ยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาสิวเป็นวิธีที่แพทย์มักแนะนำเมื่อสิวมีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป ยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวได้ มีทั้งยาที่ใช้ทาภายนอก และยาที่ใช้รับประทาน ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ
3. การใช้เลเซอร์หรือการรักษาด้วยแสง
การทำเลเซอร์สิวและการรักษาด้วยแสงมีหลายชนิดครับ เหมาะกับกรณีที่ใช้วิธีทั่วไปแล้วไม่ได้ผล ดื้อยา
การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser)
- เลเซอร์ชนิด PDL (Pulsed Dye Laser) : ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยแดงจากสิวดีขึ้น โดยการทำงานจะมุ่งเป้าไปที่หลอดเลือดที่ขยายตัวในผิวหนัง
- เลเซอร์ชนิด Fractional Laser : ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวดูเรียบเนียน
- เลเซอร์ชนิด CO2 Laser : เข้าไปช่วยเปิดช่องทางออกของต่อมไขมัน เห็นผลดีในการใช้รักษาสิวผด และสิวอุดตัน
การรักษาด้วยแสง (Light Therapy)
- แสงสีน้ำเงิน (Blue Light Therapy) : ใช้ในการฆ่าแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเฉพาะ P. acne (Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
- แสงสีแดง (Red Light Therapy) : ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมของเซลล์ผิว
4. การสกัดสิวโดยแพทย์
การสกัดสิวโดยแพทย์ หรือที่เรียกกันว่า การทำ Extraction เป็นวิธีการที่ใช้ในคลินิกผิวหนังเพื่อจัดการกับสิวที่มีการอุดตันหรือมีลักษณะเป็นหัวสิวที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ง่าย ๆ เช่น สิวหัวดำ หรือสิวหัวหนอง โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือเฉพาะและเทคนิคที่ปลอดภัยเพื่อสกัดสิวออกมาอย่างถูกต้อง
5. การฉีดสิว
การฉีดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวที่ใช้ในการลดการอักเสบและขนาดของสิวที่มีอาการรุนแรง เช่น สิวซีสต์ สิวไม่มีหัว เป็นไตแข็งนูน โดยแพทย์จะฉีดสเตียรอยด์ชนิดเฉพาะที่เข้าไปในสิวที่อักเสบ เพื่อช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่หัวสิวจะยังคงอยู่ ทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำที่เดิมได้ครับ
วิธีลดรอยสิว เสริมสร้างผิวแข็งแรง
การลดรอยสิว รอยแดง และเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลผิวหลังการรักษาสิว เพื่อให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดีและลดการเกิดรอยแผลเป็น หมอรวม 7 หัตถการบูสต์ผิวหน้าใส มาแนะนำดังนี้
1. ฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) เป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อบำรุง ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพและแก้ปัญหาต่าง ๆ บนผิวหน้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ขาวกระจ่างใส ลดการอักเสบ ช่วยขับสารพิษที่สะสมและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ปัจจุบันเมโสมีหลายสูตรหลายยี่ห้อ สำหรับคนเป็นสิว เลือกเมโสหน้าใสยี่ห้อไหนดี หมอแนะนำเป็น มาเด้คอลลาเจน เน้นลดสิว แก้ผื่นครับ
2. ฉีดมาเด้คอลลาเจน
มาเด้ คอลลาเจน (Made collagen) คือ ชื่อยี่ห้อยาฉีดของประเทศอิตาลีที่ใช้ในการทำเมโสหน้าใส โดยจะฉีดด้วยเทคนิคพิเศษ มาเด้ 16 จุดทั่วใบหน้า กระตุ้นการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนัง ซึ่งการฉีดมาเด้คอลลาเจนมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว และยังช่วยให้หน้าขาวใสขึ้นบางส่วน
3. ฉีด Belotero revive
ฟิลเลอร์ Belotero Revive คือ ฟิลเลอร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพผิว (Skin Quality) โดยเฉพาะครับ ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและความงามจากทั่วโลก เพื่อยกระดับคุณภาพการฉีด Skin Booster ให้มีประสิทธิภาพ ได้ผลลัพธ์แบบ 4 in 1 ผิวอิ่มฟู ผิวเรียบเนียน ผิวเด้ง และผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว เสริมสร้างพื้นฐานผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก เมื่อผิวแข็งแรงชุ่มชื้น ปัญหาสิวก็จะน้อยลงได้
4. ฉีด Rejuran
Rejuran เป็นสารประเภท Polynucleotide (PN) 2% บริสุทธิ์เข้มข้นที่สกัดจากชิ้นส่วน DNA แซลมอน เมื่อฉีด Rejuran เข้าผิวหนังแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวเดิมที่เสื่อมสภาพให้กลับมาแข็งแรงดูสุขภาพดี มีคุณสมบัติเด่นเรื่องฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน กระชับรูขุมขน ลดหลุมสิวตื้น ๆ และยังช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวหน้า (Skin Barrier) ให้ถูกทำลายได้ยากมากขึ้นด้วยครับ
5. ทำ exosome
การใช้ Exosome เป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาและฟื้นฟูผิว ด้วยการเติมสารอาหารที่สำคัญต่อผิวกว่า 1,000 ชนิดเข้าสู่เซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน รักษาหลุมสิว บำรุงผิวชุ่มชื้น เหมาะกับคนที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำ รอยแดงจากสิว มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ
6. ฉีด Sculptra
Sculptra เป็นสาร PLLA (Poly-L-Lactic acid) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 ในชั้นผิว ช่วยทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวกระชับ อิ่มฟู ยืดหยุ่น ฟื้นฟูผิวจากโครงสร้างผิวชั้นลึก ทำให้ผิวแข็งแรงจากภายใน คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
7. ฉีด Gouri
การฉีด Gouri จะใช้สาร PCL (Polycaprolactone) นำมาฉีดเข้าสู่ชั้นผิว เป็นนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวที่เน้นฟื้นฟูและแก้ไขผิวที่เสื่อมสภาพตามวัยให้มีคุณภาพดีขึ้น ผิวอิ่มน้ำ รูขุมขนเล็กลง ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง มีความแน่นฟู ปรับผิวเรียบเนียน และช่วยยกกระชับใบหน้าโดยรวมให้ดูสดใสขึ้นได้ครับ
สรุป
การบีบสิวเป็นวิธีการกำจัดสิวที่ไม่แนะนำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลเสียต่อผิวได้ เช่น การอักเสบ ติดเชื้อ รอยแผลเป็น และการแพร่กระจายของสิว ดังนั้น หากมีสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด จะช่วยลดการอักเสบของสิวเดิม และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ ยับยั้งไม่ให้สิวลุกลามได้ครับ