สิวอักเสบ
‘ สิวอักเสบ ’ หนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความรำคาญใจ ให้กับใครหลายคน เพราะมักทิ้งรอยดำสิวไว้ให้ดูต่างหน้า แม้จะรักษาจนหายแล้วก็ตาม ก็อาจกลับมาเป็นได้อีกครับ
ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ หรือมีปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง เป็นสิวซ้ำซาก หมอมีสาระน่ารู้ เกี่ยวกับ สิวอักเสบมาฝาก สิวมีกี่แบบ เกิดจากสาเหตุใด รักษาป้องกันวิธีไหนได้บ้าง ฉีดมาเด้คอลลาเจน ช่วยได้ไหม ติดตามอ่านได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ สิวอักเสบ
สิวอักเสบ คืออะไร ?
สิวอักเสบ คือ โรคผิวหนังที่มีการอักเสบเรื้อรังของ pilosebaceous unit ได้แก่ รูขุมขน (follicles) และต่อมไขมัน (sebaceous gland) พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะเพศชาย สามารถจะพบได้ทุกระยะครับ ทั้งสิวอุดตัน (Comedones)
เช่น สิวหัวปิดสีดำ หรือสิวหัวขาว สิวไม่มีหัวอยู่ใต้ผิวหนัง ที่มีแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes หรือ P.acnes (พี-แอคเน่ ) เจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว โดยที่ P.acnes สามารถดึงดูดเม็ดเลือดขาวเข้ามาในตุ่มสิว ตัวการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ กลายเป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง
อีกทั้งยังมีเอนไซม์ช่วยในการย่อยน้ำมัน (Sebum) ในตุ่มสิวให้กลายเป็นกรดไขมันที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเพิ่มอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้วอาการสิวอักเสบอาจหายได้เอง โดยไม่ได้รับการรักษา แต่อาจใช้ระยะเวลานาน จึงเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับเจ้าของใบหน้า หลาย ๆ คน จึงพยายามเร่งหาทางรักษา
เพราะถ้าไม่รักษาอย่างถูกต้อง อาจเกิดแผล หรือ ปัญหาหลุมสิว ตามมาได้ จึงควรเร่งรักษาสิวอักเสบ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เกิดตามมาภายหลังครับ
รักษาหลุมสิว วิธีไหนดี ? กี่วันหาย ? หลุมสิวลึกมาก แก้ไขได้ไหม ? คนไข้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ครับ
ลักษณะของสิวอักเสบ
ลักษณะสิวอักเสบจะมีความแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง ตั้งแต่ตุ่มเล็ก ๆ ไปจนถึงตุ่มใหญ่และมีอาการอักเสบน้อยถึงอักเสบมาก เช่น เป็นฝี ถุงหนอง และมักก่อให้เกิดความเจ็บปวดหากสัมผัสโดนบริเวณนั้น
ระดับความรุนแรงของสิว
- ระดับที่ 1 (เล็กน้อย) : เป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบรุนแรง มีลักษณะเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือ สิวตุ่ม และสิวหัวหนองที่มีขนาดเล็ก มีจำนวนไม่มาก
- ระดับที่ 2 (ปานกลาง) : เป็นสิวตุ่ม และสิวหัวหนองจำนวนมากทั่วใบหน้า หรือทั่วบริเวณที่พบสิว
- ระดับที่ 3 (ค่อนข้างรุนแรง) : เป็นสิวตุ่มมีสิวหัวหนองร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก ลักษณะเป็นสิวอักเสบก้อนลึก
- ระดับที่ 4 (รุนแรง) : มีสิวตุ่ม และสิวหัวหนองอักเสบที่สร้างความเจ็บปวดไปทั่วบริเวณที่มีสิว
สิวอักเสบ เกิดจากอะไร ?
สิวอักเสบ เป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อย และมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นครับ มาดูกันว่าสิวอักเสบ เกิดจากปัจจัยใดบ้าง
- ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว โดยระดับฮอร์โมน androgen จะมีระดับสูงในช่วงวัยรุ่น โดยเฉพาะเพศชาย ทำให้พบสิวในช่วงอายุนี้มากกว่าช่วงอายุอื่น ๆ ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการสร้างไขมันออกมามากขึ้น ทำให้รูขุมขนกว้าง และหน้ามัน มีการอุดตันของรูขุมขนตามมา เกิดเป็นสิวอุดตันและกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สิวฮอร์โมน ได้ที่นี่ครับ
- การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย : การเกิดสิว ยังมาจากการแบ่งตัวของผิวหนังชั้น stratum corneum มากเกินไป (Hyperkeratinization) เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes การผลิตไขมันที่มากเกิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ง่าย
- อาหาร : ในกรณีของอาหาร ที่เชื่อว่าอาหารบางชนิดทำให้เกิดสิว เช่น อาหารทอด มัน ของหวาน ช็อกโกแลต ฯ ในความเป็นจริง ยังไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัดว่าอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ แต่ถ้าสังเกตได้ว่าอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งทำให้อาการสิวอักเสบแย่ลง แนะนำหลีกเลี่ยงหรือหยุดรับประทานไว้ก่อนได้ครับ
- เครื่องสำอาง : การใช้เครื่องสำอางเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ และสิวอุดตันได้ ในผู้ที่มีโอกาสเป็นสิวได้ง่าย หมอแนะนำให้พยายามเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ควรเลือกเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน(oil-free) และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่ทําให้เกิด สิวอุดตันหรือสิวอักเสบ (noncomedogenic และ non-acnegenic) ก็จะไม่ทำให้เกิดสิวหัวเปิดหรือสิวหัวปิด
- กรรมพันธุ์ : หากบุคคลในครอบครัวเป็นสิวและมีสภาพผิวมัน จะมีโอกาสเป็นสิวได้มากกว่าผิวชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไปผู้ที่ผิวมันจะมีรูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ รวมทั้งหน้ามันเยิ้ม ทำให้สกปรกง่ายต่อการเกิดสิวอักเสบ
สิวอักเสบมีกี่แบบ
สิวอักเสบ สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทโดยแบ่งตามขนาดของตุ่ม การสิวอักเสบ และความรุนแรงของอาการอักเสบ ดังนี้
1.สิวตุ่มนูนแดง
สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papule) หรือบางคนอาจเรียกสิวหัวช้างไม่มีหัว มีลักษณะเป็นตุ่มแดง เจ็บ ขนาดไม่เกิน 0.5 ซม. ส่วนมากสิวชนิดนี้เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่เปลี่ยนมาจากสิวอุดตัน
2.สิวหัวหนอง
สิวหัวหนอง หรือ สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและรู้สึกปวด มีหัวหนองอยู่ข้างบนตุ่ม เป็นสิวที่มีการอักเสบมากกว่าสิวอักเสบตุ่มนูนแดง ซึ่งอาจเกิดจากสิวที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นแทรกซ้อน
3.สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก
สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง รู้สึกเจ็บและปวดมากขึ้น ซึ่งสาเหตุมักมาจากการเป็นสิวอักเสบชนิด Papule แล้วมีการบีบหรือกดสิว จนทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง จึงทำให้สิวยิ่งอักเสบบวมแดงรุนแรงมากขึ้น
4.สิวซีสต์
สิวซีสต์ (Acne Cyst) มีลักษณะเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง เหมือนสิวข้าวสาร พบได้ไม่บ่อยนัก ไม่แดง ไม่ปวด มีลักษณะเป็นถุงภายในและมีของเหลวข้นหนืดสีเหลือง สิวซีสต์ชนิดนี้แม้จะรักษาจนยุบแล้ว แต่หลังจากนั้นมักจะกลายเป็นแผลเป็นก้อนนูนแข็งหรือหลุมสิวขนาดใหญ่
5.สิวหัวช้าง
สิวหัวช้าง (Acne Conglobata) เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่มีความรุนแรงมาก เกิดจากเป็นสิวอักเสบรุนแรงทุกชนิดขึ้นรวมกันหนาแน่น ลักษณะนูน บวม แดงและมีหัวหนองอย่างเห็นได้ชัด รักษาได้ยาก
หากได้รับการรักษาที่ผิดวิธีอาจทำให้สิวลุกลามติดเชื้อมากขึ้น เซลล์ผิวหนังถูกทำลายจนกลายเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่หรือหลุมสิวถาวร
6.สิวหัวดำ (Blackheads)
สิวหัวดำ (Blackheads) หรือสิวหัวเปิด มีลักษณะเป็นสิวขนาดเล็กที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน โดยจะทำปฏิกิริยากับสารเมลานินหรือเม็ดสีที่เซลล์ผิวหนัง ทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำ จึงเรียกว่าสิวหัวดำ หากใช้มือลูบโดน จะรู้สึกสาก ๆ แข็งๆ ไม่มีอาการเจ็บปวด สาเหตุมักมาจากการสะสมของสิ่งสกปรก เช่น ล้างหน้าไม่สะอาด หรือนอนโดยยังมีเครื่องสำอางอยู่บนหน้าครับ
7.สิวหัวขาว
สิวหัวขาว (Whiteheads) มีลักษณะคล้าย ๆ สิวอุดตันหัวดำ บางคนเข้าว่าเป็นสิว อักเสบหัวแข็ง ที่ไม่มีทางออกมานอกผิว มองเห็นเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ไม่มีหัวสิว สิวอุดตันประเภทนี้มักนำไปสู่การเป็นสิวอักเสบสูง จึงไม่ควร บีบ แคะ แกะ เกา
8.สิวหิน
สิวหิน (Syringoma) ความจริงแล้วไม่ใช่สิวครับ แต่เป็นเนื้องอกต่อมท่อเหงื่อ ชนิดที่ไม่อันตราย เกิดจากการเจริญเติบโตของต่อมเหงื่อผิดปกติ มีลักษณะเป็นเม็ดแข็ง ขนาดเล็ก มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า คาง และกราม หรือบริเวณหลัง และไหล่ ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือคันร่วมด้วย สิวชนิดนี้มักไม่มีหัวสิวชัดเจนและอาจใช้เวลานานในการรักษา
9.สิวเสี้ยน
สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่สิวเช่นกันครับ แต่เป็นขน และรากขนที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนประมาณ 5-25 เส้นในรูเดียว (ปกติจะมีขนเพียง 1-4 เส้น/1 รูขุมขน) หากมองใกล้ ๆ จะเห็นเป็นเส้นขนหลายเส้นเกาะตัวรวมกันอยู่ มองเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในที่ที่มีแสงสว่าง
สิวอักเสบเกิดในตำแหน่งไหนได้บ้าง ?
เนื่องจากสิวเป็นการอักเสบของต่อมไขมัน (sebaceous) ทำให้เรามักพบสิวอักเสบในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น
- สิวอักเสบบนใบหน้า เช่น สิวที่แก้ม สิวที่ปาก
- สิวอักเสบที่คาง
- สิวอักเสบที่หน้าผาก
- สิวอักเสบบริเวณหน้าอก
- สิวอักเสบที่หลัง – หลังส่วนบน
- สิวอักเสบที่คอ ไหล่ และต้นแขน
- สิวที่คอ
การรักษาสิวอักเสบ
สิวอักเสบ รักษายังไงได้บ้าง ? เมื่อพบว่าเกิดสิวอักเสบบนใบหน้า เพื่อป้องกัน การลุกลาม รวมถึงทำลายผิวหนัง การเร่งรักษาสิวถือเป็นสิ่งที่ปฏิบัติครับ ซึ่งวิธีการรักษาสิวอักเสบทำได้หลายวิธีครับ ทั้งวิธีรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง และพบแพทย์ผิวหนัง โดยหมอจะอธิบายวิธีการรักษาเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1.รักษาสิวอักเสบ ด้วยสกินแคร์
การรักษาสิวด้วยสกินแคร์ เป็นวิธีแก้สิวอักเสบที่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวแบบปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่สกินแคร์ดูแลสิวอักเสบจะมีส่วนผสมของ กรดไฮดรอกซี (Hydroxy Acid)
เช่น กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) หรือ AHA และ กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta hydroxy acid) หรือ BHA ซึ่งเป็นกรดอ่อนที่ออกฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว จึงช่วยลดการอุดตันที่เป็นต้นตอของปัญหาสิวอักเสบได้ จึงทำให้รอยสิวดูจางลง และเป็นวิธีกระชับรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน สิวขึ้นน้อยลง หน้าดูสดใสขึ้นได้ครับ
2.รักษาสิวอักเสบ ด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า
รักษาสิวอักเสบด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองที่ทำได้ง่ายครับ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้ามีหลายชนิด ซึ่งหากต้องการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จะต้องควบคู่กัน และใช้อย่างสม่ำเสมอครับ เช่น
- เจลล้างหน้า : ช่วยขจัดสิ่งสกปรก ลดโอกาสเกิดสิวอุดตัน สาเหตุของสิวอักเสบ วิธีการเลือกใช้ควร เลือกให้เหมาะสมสภาพผิว หรือเจลล้างหน้าสำหรับคนเป็นสิว ผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกได้ดี และไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึงเกินไป
- ครีมบำรุง : ใช้ครีมบำรุงเพื่อช่วยลดการเกิดสิว บำรุงผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น ไม่ให้แห้งลอก อาจเลือกใช้เป็น มอยส์เจอไรเซอร์ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดสิวอุดตัน และลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้ด้วย
- ครีมกันแดด: ครีมกันแดดเป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ควรละเลย เพราะแสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้การอักเสบของสิวรุนแรงขึ้นครับ แนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดแบบคุมมัน หรือ Sun dry touch oil control เพราะเหนอะหนะผิว และช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้ดี
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ในแต่ละบุคคลอาจมีความเหมาะสมแตกต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และระดับความรุนแรงสิวอักเสบ ทางที่ดีก่อนเลือกใช้ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนังร่วมด้วย
3.รักษาสิวอักเสบ ด้วยยาทาภายนอก
ยาทารักษาสิวอักเสบ เป็นวิธีแก้สิวอักเสบที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะสะดวกและผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับยารับประทาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวปานกลาง ไปจนถึงมาก เช่น
- ยากลุ่ม Benzoyl peroxide
- ยาทาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ (Topical antibiotics)
- ยาทาเรตินอล (อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ)ยาทาเรตินอยด์ (อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ)
แนะนำให้ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง หรือเภสัชกร โดยกลุ่มยาทาเหล่านี้จะมีสารสำคัญที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง
4.รักษาสิวอักเสบด้วยการกดสิว
วิธีการกดสิว เพื่อรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง เป็นอีกวิธีแก้สิวอักเสบที่หลายคนนิยม ซึ่งจริง ๆ แล้วการกดสิว เหมาะสมผู้ที่มีปัญหาสิวตุ่มและสิวหนองครับ เพราะหนองสิวอยู่ตื้นสามารถกดออกได้ แต่ต้องกดอย่างถูกวิธี ไม่เช่นนั้นอาจเป็นการกระตุ้นให้สิวอักเสบรุนแรง ซึ่งหากเป็นหมอกดสิว ที่กดอย่างถูกต้องอาจจะต้องเจาะหัวสิวอักเสบก่อน เพื่อเป็นการเปิดหัวสิวให้หนองออกง่าย ๆ ไม่ทิ้งรอยแดง หรือรอยแผลเป็นตามมา
แต่ในผู้มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง (สิวหัวช้าง,สิวซีสต์) การกดสิวเองอาจจะไม่เหมาะสมครับ อาจจะต้องกรีดผิวหนังและบีบระบายหนองออก แล้วทำความสะอาด ทายาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบรุนแรง และควรใช้เครื่องมือกดสิวเฉพาะทางการแพทย์ผิวหนังเท่านั้นถึงจะได้ผลดี
5.รักษาสิวอักเสบด้วยการฉีดมาเด้-เมโสหน้าใส
การฉีดมาเด้ คอลลาเจน (made collagen) รวมถึงตัวยาเมโสหน้าใส สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิว ขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในผิว ลดผิวอักเสบ ลดผื่นแพ้ ลดสิว ลดรอยสิว
หลังฉีดมาเด้ยังช่วยให้หน้าขาวใสขึ้นบางส่วน เพราะในส่วนผสมของ มาเด้คอลลาเจน และเมโสหน้าใสจะมีอาหารผิวต่าง ๆ อีกหลายชนิด เช่น Vitamin A, B, C, E Transamin, Glutatione หรือเมโสหน้าใสกลุ่มที่ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวชุ่มชื้น เซลล์ผิวฟื้นฟูจากสารพิษได้ไวที่สุด และช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจน
การฉีดมาเด้สิว สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนดียิ่งขึ้น ควรฉีดอย่างต่อเนื่อง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยฉีดติดต่อกันฉีด 5 ครั้ง ขึ้นไปครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง 5 วิธีการรักษาสิวอักเสบที่หมอกล่าวมาเป็นเพียงการรักษาขั้นพื้นฐาน ยังมีการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะต้องพิจารณาเป็นเคส ๆ ไป โดยเฉพาะผู้มีสิวอักเสบขึ้นเยอะมาก ๆ อาจต้องรักษาด้วยวิธีเหล่านี้
- การฉีดยาสิวอักเสบคอร์ติโคสเตียรอยด์
- การใช้เลเซอร์เพื่อลบรอยสิวอักเสบ เช่น Pulsed dye laser หรือ Nd:YAG
- การใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อลดการอักเสบและฆ่าเชื้อ C. acnes เช่น Blue light Therapy, ALA and Light therapy, Intense Pulsed Light (IPL) และ Light and Heat Energy (LHE) ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงขึ้นครับ
สิวอักเสบไม่มีหัว รักษายังไง ?
สิวอักเสบไม่มีหัว มักเป็นตุ่มแดงๆ บวม และเจ็บ ไม่เห็นหัวสิวชัดเจน ซึ่งจะรักษายาก และใช้เวลากว่าสิวประเภทอื่น ๆ ครับ
สำหรับวิธีรักษาสิวอักเสบไม่มีหัว สามารถทำได้ทั้งรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง และหาแพทย์เฉพาะทาง ไปดูกันครับว่ามีวิธีไหนบ้าง
- รักษาสิวอักเสบไม่มีหัวด้วยการใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ หรือกรดซาลิไซลิก สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวหายเร็วขึ้น ยาเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป และควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
- ในกรณีที่สิวอักเสบไม่มีหัวอยู่ในระดับรุนแรง แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะสำหรับการใช้ภายนอกหรือยารับประทาน เพื่อลดการอักเสบ และการติดเชื้อ ยาปฏิชีวนะจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวได้
- รักษาสิวอักเสบไม่มีหัวด้วยเลเซอร์หรือแสงความเข้มสูง (เช่น IPL หรือแสงสีแดงและสีน้ำเงิน) สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวและลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวหนัง การรักษาแบบนี้ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- รักษาสิวอักเสบไม่มีหัวด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือสารเคมีที่ระคายเคืองผิว
การรักษาสิวอักเสบไม่มีหัว ต้องใช้เวลาและความอดทน ควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างถูกวิธี และการปรึกษาแพทย์ผิวหนัง จะช่วยให้ปัญหาสิวลดลง ผิวกลับมาเนียนใสได้อีกครั้งครับ
เป็นสิวอักเสบไปหาหมอดีไหม ?
หากมีปัญหาสิวอักเสบเรื้อรัง สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด และยังกระจายไปทั่วใบหน้าจนทำลายผิวหนัง หมอแนะนำให้พบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมครับ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ นอกจากจะสร้างความเจ็บ แล้วยังทำให้เจ้าของใบหน้าสูญเสียความมั่นใจ รวมถึงยังเป็นการทำลายผิว ทิ้งรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยากในอนาคตได้
การดูแลตนเองเมื่อเป็นสิวอักเสบ
เมื่อมีปัญหาสิวอักเสบ การดูแลผิวหน้า รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง ถือว่าสำคัญครับ บางคนอาจไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา ได้ยาทา หรือยารับประทานมาแล้ว แต่ก็ยังต้องดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย ดังนี้
- ควรใช้สบู่อ่อน ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี และควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 1-2 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางไปก่อน หากจำเป็นควรแต่งหน้าให้น้อยที่สุดและเลือกใช้เครื่องสำอางสูตรไม่ก่อให้เกิดสิวครับ ที่สำคัญควรล้างทำความสะอาดก่อนนอน
- เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ เน้นผักและผลไม้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึกและอดนอน เพราะจะทำให้สิวอักเสบกำเริบได้ง่าย
- หากไปพบแพทย์มาแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการทายาและรับประทานยา
การป้องกันสิวอักเสบ
การป้องกันตัวเองไม่ให้สิวขึ้นไม่หยุด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ ดังนี้
- ล้างหน้าให้สะอาด โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน รวมถึงใช้โทนเนอร์เช็ดคราบสกปรกหรือเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนบำรุงผิว
- หมั่นทำความสะอาดเส้นผม เพื่อลดไขมันบนเส้นผมที่อาจทำให้เป็นสิวได้
- ดูแลทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น เปลี่ยนผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ทุกอาทิตย์ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดตุ่ม สิวผด สิวไม่มีหัว แก้มเป็นผื่นผด หรือสิวอักเสบที่แก้มได้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- บำรุงผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ การรับประทานผักผลไม้ การรับประทานวิตามินเสริมอาหาร รวมถึง สามารถการฉีดเมโสหน้าใส และการฉีดวิตามินผิว เพื่อบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรงอยู่เสมอ
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ฉีดวิตามินผิวที่ไหนดี เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย และเห็นผล
- รีวิวฉีดผิวขาว เห็นผลจริงไหม ? มีวิธีใดบ้างที่ทำแล้วผิวขาว ปลอดภัย เห็นผล
- ฉีดวิตามินผิว ราคาโปรโมชั่น บำรุงผิวสุขภาพดี ทำไมแต่ละคลินิกราคาต่างกัน ?
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบ
1. สิวอักเสบบีบได้ไหม ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นจริงรึเปล่า ?
การบีบสิวอักเสบเป็นสิ่งที่หมอไม่แนะนำครับ เพราะการบีบสิวเยอะมาก เค้น แคะ แกะ เกาบริเวณอักเสบจะทำให้อาการอักเสบรุนแรงมากขึ้น หากต้องการกดสิว แนะนำให้เข้ารับการกดสิวโดยแพทย์ผิวหนัง
2. สิวอักเสบกี่วันหาย ?
ระยะเวลารักษาสิวอักเสบขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และความรุนแรงของอาการอักเสบ หากรักษาโดยแพทย์จะหายได้เร็ว หากรักษาด้วยตัวเองในกรณีที่สิวอักเสบไม่รุนแรง สามารถหายได้เอง ภายใน 4-6 สัปดาห์โดยประมาณ ขึ้นอยู่กับการดูแล
3. เป็นสิวอักเสบใช้ครีมกันแดดได้ไหม ?
สามารถใช้ได้ครับ แต่ต้องเลือกครีมกันแดดแบบ Physical ไม่มีสารเคมี และไม่ทำให้ระคายเคือง และลดโอกาสการเป็นสิวอุดตัน
4. สิวอักเสบหายเองได้ไหม ?
การรักษาสิวอักเสบ หรือรักษาสิวอุดตันด้วยตัวเอง สามารถทำได้ และสิวสามารถหายได้เอง แต่เฉพาะในบางเคสครับ หากรู้วิธีดูแลรักษาอย่างดี แต่หากปล่อยให้สิวอักเสบ หรืออุดตันนาน ๆ ข้อเสียคือ อาจทำลายผิวหนังและทำให้เกิดรอยแผล ทั้งรอยด่างดำ บางคนอาจเกิดเป็นหลุมสิว ที่รักษาได้ยาก แนะนำให้รีบทำการรักษาตามอาการ
5. สิวอักเสบรักษานานแค่ไหน ?
ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และวิธีการรักษาครับ หากอาการไม่มาก และทำการรักษา เฉลี่ยสามารถดีขึ้นได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้ามีสิวอักเสบรุนแรง และยังมีสิวอุดตันร่วมอาจใช้เวลารักษาเป็นเดือนครับ ซึ่งวิธีการรักษามีทั้งยาทา ยากิน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีรักษาสิว อื่น ๆ ตามความเหมาะสม
6. มีสิวอักเสบบริเวณจมูกผ่าตัดเสริมจมูกได้ไหม ?
หากมีสิวอักเสบบริเวณที่เสริมจมูก หมอยังไม่แนะนำให้เสริมจมูกครับ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูกแบบเปิด หรือการเสริมจมูกแบบปิด เพราะอาจมีการติดเชื้อมาถึงซิลิโคนด้านในได้ เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมา แนะนำรักษาให้หายก่อน หรือถ้าใครที่เสริมจมูกมาแล้วมีสิวอักเสบบริเวณจมูกขึ้นที่หลัง ในกรณีนี้แนะนำให้เข้ามาพบแพทย์ เพื่อรีบรักษาให้หาย เลี่ยงการอักเสบที่ลุกลามไปจนถึงซิลิโคนเสริมจมูกด้านใน ซึ่งยากต่อการแก้ไขครับ
สรุป
สิวอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกันครับ เพียงแต่ต้องใช้เวลา และให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ซึ่งวิธีรักษาสิวอักเสบที่ดีที่สุด คือการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาให้ตรงจุด ช่วยให้รักษาให้หายได้เร็วขึ้น ลดโอกาสการเกิดหลุมสิว รอยดำ รอยแดง รอบแผลเป็นจากสิวอักเสบลงได้
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ