สิวที่หลัง
ปัญหาสิวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบนใบหน้าเท่านั้น สิวที่หลังเป็นอีกจุดที่พบได้บ่อย ๆ ครับ เกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย สาเหตุจากฮอร์โมน แพ้เหงื่อ หรือเป็นคนที่ผิวบอบบาง ก็พบปัญหาสิวที่หลังได้บ่อย ๆ พอเป็นเยอะ ๆ ทิ้งรอยดำ รอยแดง หลุมสิวไว้ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่อยากใส่เสื้อผ้าที่โชว์ผิวในส่วนนี้
หมอจะอธิบายถึงสาเหตุและวิธีรักษาสิวที่หลัง ว่ามีวิธีไหนช่วยได้บ้าง ฉีดวิตามิน กินยา ทาครีม เมโส วิธีไหนได้ผลดีที่สุด ถ้าไม่อยากกลับมาเป็นสิวที่หลังซ้ำ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร อ่านได้ในบทความนี้ครับ
สารบัญ สิวที่หลัง
สิวที่หลัง คืออะไร ลักษณะเป็นอย่างไร ?
สิวที่หลัง (Back Acne) คือสิวที่กระจายอยู่บนแผ่นหลัง โดยเฉพาะช่วงบนปีกหลัง เกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เกิดการอุดตันของไขมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งก็พบสิวที่หลังที่เป็นเม็ดผดได้บ่อย ๆ ในคนไทยครับ เพราะอากาศร้อน ยิ่งใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ หรือเกิดการเสียดสีก็กระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นมาได้
ลักษณะของสิวที่หลังไม่จำเป็นต้องเป็นสิวผดเท่านั้น แต่สามารถเกิดสิวได้หลายประเภท ได้แก่
ประเภทของสิวที่หลัง
สิวหัวขาว หรือ สิวอุดตันหัวปิด (Whiteheads)
มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก เป็นสิวไม่มีรูเปิด เมื่อลูบจะรู้สึกเป็นไต ๆ สิวประเภทนี้รากจะอยู่ลึกและรักษาได้ยาก บีบออกยาก หากปล่อยไว้นาน ๆ จะขยายใหญ่ขึ้น และพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ
สิวหัวดำ หรือ สิวอุดตันหัวเปิด (Blackheads)
มีลักษณะเป็นตุ่มนูน มีหัวสีดำอยู่ตรงกลาง และมีรูเปิดออกจนเห็นหัวสิว สิวหัวดำสามารถบีบออกหรือกดให้ออกมาจากใต้ผิวได้ แต่ถ้าบีบไม่ถูกวิธีอาจทำให้เป็นรอยสิว หรือสิวอักเสบเพิ่มขึ้น (จุดสีดำตรงกลางเกิดจากน้ำมัน (Sebum) ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนแล้วเปลี่ยนไขมันเป็นสีดำ)
สิวตุ่มแดง (Papule)
มีลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ใหญ่ไม่เกิด 0.5 cm เป็นอาการของสิวที่เริ่มอักเสบในระยะแรก ไม่มีอาการเจ็บแต่จะสร้างความรำคาญ หากไม่รักษาก็จะกลายไปเป็นสิวอักเสบครับ
สิวหัวหนอง (Pustule)
มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและมีหัวหนอง มีอาการเจ็บหรือปวดร่วมด้วย เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule)
มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง เป็นไตแข็ง ๆ และรู้สึกเจ็บได้ เกิดจากแบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง รักษาได้ยาก เมื่อหายแล้วก็อาจจะทิ้งแผลหรือรอยหลุมสิวไว้
สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne)
มีลักษณะเป็นตุ่มสิวขนาดใหญ่ มีการอักเสบรุนแรง จะมีหัวหรือไม่มีหัวก็ได้ (บางรายอาจพบหัวสิว 2-3 หัวอยู่ในสิวเม็ดเดียว) ระยะเริ่มจะเป็นตุ่มแดง ๆ ไม่มีหัว ก่อนจะอักเสบขึ้นเรื่อย ๆ มีอาการปวด บวม แดง และมีหนองตามมา
สิวเสี้ยน (Small Pimple)
มีลักษณะเป็นจุดดำเล็ก ๆ หรือมีเหมือนขน ๆ ทิ่มออกมาจากรูขุมขน เกิดจากความผิดปกติของผิวหนังที่สร้างขน ทำให้ในรูขุมขนมีขนเกิดขึ้นมากกว่าปกติ (อาจมากถึง 25 เส้นในรูเดียว) ทำให้เกิดการจับตัวกันรวมกับไขมัน เคราติน เกิดเป็นสิวเสี้ยนโผล่ขึ้นมากครับ
มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายผื่นกระจายตัวบนผิวหนัง เป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ (Syringoma) เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือเห็นได้ชัดตอนที่อากาศร้อน เหงื่อออกเยอะ ทําให้ต่อมเหงื่ออุดตันเป็นตุ่มแข็ง ๆ เม็ดเล็ก ๆ หรือบางคนก็มีตุ่มหนองร่วมด้วย
สิวที่หลัง เกิดจากอะไร ?
- ฮอร์โมน : ปริมาณฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล เช่น ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) มากขึ้น จึงกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมัน (Seborrhea) ออกมามากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน
- กรรมพันธุ์ : ส่งผลต่อลักษณะผิว เช่น ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวบอบบางแพ้ง่าย และในคนที่ครอบครัวเป็นสิวที่หลัง ก็มีโอกาสเป็นสิวที่หลังได้มากกว่าคนทั่วไป
- สภาพอากาศ : อากาศร้อนทำให้เหงื่อออกมาก เกิดการหมักหมมของสิ่งสกปรก แบคทีเรีย ขี้ไคล และเกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ง่าย
- การรับประทานอาหาร : การรับประทานอาหารบางอย่างมากเกินไป เช่น อาหารหวานจัด คาเฟอีน ขนมปังขาว มันฝรั่งทอด น้ำอัดลม ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน หรือทำให้ Yeast เติบโตเกิดเป็นของเสียในร่างกาย และทำให้เกิดสิว
วิธีการรักษาสิวที่หลัง
วิธีรักษาสิวที่หลังมีหลายวิธี ทั้งแบบทำได้เองและรักษาโดยแพทย์ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของปัญหาสิวที่แต่ละคนเป็นครับ หมอแบ่งวิธีการรักษาสิวที่หลังเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1.รักษาสิวที่หลังด้วยผลิตภัณฑ์เวชสําอาง
- ใช้ครีมอาบน้ำ (Shower Oil) ที่ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน มีส่วนผสม เช่น กรดอะมิโน เซราไมด์ สารสกัดน้ำมันและไขมันจากธรรมชาติ ที่ช่วยปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวไม่แห้งตึงหลังอาบน้ำ
- ครีมทาผิว (Lotion) ที่ช่วยบำรุงฟื้นฟูสภาพผิวให้แข็งแรง ช่วยลดการเกิดสิว มีส่วนผสมจำพวก AHA, BHA, PHA, LHA เช่น เรตินอล (Retinol) อะแดปเพลีน (Adapalene) กรดซีตริก (Citric Acid) ทำให้ผิวชุ่มชื้น เสริมการทำงานของเอนไซม์
- โทนเนอร์ (Toner) ที่ช่วยควบคุมความมัน (Oil-Control) ลดการเกิดสิวได้ โดยต้องเป็นโทนเนอร์ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ และมีส่วนผสมของ AHA, BHA, PHA, LHA ขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้าง หรืออุดตันในรูขุมขน
“ ข้อควรรู้ : ผลิตภัณฑ์เวชสําอางจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการเกิดสิวที่หลังได้ แต่ถ้าเป็นหนัก ๆ ก็อาจต้องใช้ยาหรือวิธีทางการแพทย์ช่วยรักษาควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลที่ชัดเจนและรักษาได้ตรงจุดมากกว่าครับ ”
2.รักษาสิวที่หลังโดยแพทย์
- การกดสิวที่หลัง เป็นการกดให้หัวสิวหลุดออกมา ง่าย รวดเร็ว แต่ถ้าเป็นสิวที่หลังก็จะกดเองยาก และควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กดครับ ถ้ากดเองไม่ถูกวิธีหรืออุปกรณ์ไม่สะอาด จะทำให้มีการอักเสบ ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นสิวมากกว่าเดิม หรือหากกดหัวสิวออกไปได้ ก็อาจทิ้งรอยสิว แผลเป็นหลังกดไว้ครับ
- ทายารักษาสิวที่หลัง จะมีส่วนประกอบของอนุพันธุ์วิตามินเอ เช่น เรตินอยด์ (Retinoids) หรือส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ช่วยละลายสิวอุดตัน เช่น Isotretinoin, Adapalene การทายารักษาสิวที่หลังจะช่วยสลายการอุดตันในต่อมไขมัน ชะลอการหลั่งน้ำมันส่วนเกิน และเร่งการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้
- รับประทานยารักษาสิวที่หลัง จะเหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบที่หลัง เกิดจากฮอร์โมนทำงานผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาปรับฮอร์โมนให้ครับ จะเป็นการรักษาจากต้นเหตุ ทำให้ไม่กลับไปเป็นซ้ำบ่อย ๆ
- การฉีดยารักษาสิวที่หลัง จะเป็นยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เหมาะกับปัญหาสิวอุดตันขนาดใหญ่ สิวซีสต์ สิวหัวช้าง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยบุ๋มและเป็นแผลเป็นได้ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาไตรแอมซิโนโลน เป็นวัณโรคหรือติดเชื้อราที่ผิวหนัง โรคเบาหวานชนิดควบคุมอาการไม่ได้ หัวใจวาย หรือความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรงครับ
- เลเซอร์สิวที่หลัง มีหลักการเหมือนการใช้เข็มเจาะเพื่อช่วยให้กดสิวออกมาได้ง่ายครับ แต่จะใช้เลเซอร์ในการเจาะแทน เหมาะกับใช้รักษาสิวอุดตัน และช่วยรักษารอยดำ รอยแดงจากการกดสิวได้
- การฉีดเมโสหลัง เป็นการฉีดตัวยาที่มีส่วนผสมของวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น วิตามินซี คอลลาเจน เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง ตัวยาจะออกฤทธิ์ได้ดีและตรงจุดมากกว่า ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดผด ผื่น ลดการทำงานของต่อมไขมัน จึงช่วยลดสิวได้อย่างเห็นผล นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ช่วยขับสารพิษ และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้ แต่เพื่อให้เห็นผลชัดเจนควรฉีดอย่างต่อเนื่องครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดเมโสคืออะไร ? อันตรายหรือไม่ ? ข้อควรรู้ก่อนทำเมโส
- ฉีดวิตามินผิว ช่วยบำรุงผิวพรรณด้วยส่วนผสมของ Vit C megadose + Vit B รวม + Glutamine + Amino + Nac ทำให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้นให้ผิว ลดโอกาสเกิดสิวซ้ำซาก โดยหมอจะประเมินสภาพผิวและปรับสูตรให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิวขาว เสริมภูมิคุ้มกัน อันตรายไหม ? ฉีดวิตามินผิวที่ไหนดี ? ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ?
3.รักษาสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ
- สครับผิวที่หลัง ด้วยเกลือ น้ำตาล น้ำมันมะพร้าว มะขามเปียก กากกาแฟ จะได้ผลดีกับสิวที่เป็นสิวอุดตันและสิวเสี้ยนครับ ไม่เหมาะกับสิวอักเสบ และไม่ควรสครับผิวบ่อยเกินไปเพราะจะยิ่งเป็นการรบกวนผิวมากขึ้น
- พอกหลังด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ดินสอพอง-มะนาว, มะขามเปียก-น้ำผึ้ง, เกลือ-เปลือกส้ม นำมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกไว้ทั่วแผ่นหลัง ประมาณ 30 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวยุบและแห้ง
รักษาสิวที่หลังแบบไหนที่ไม่ได้ผล
การจะรักษาสิวที่หลังให้หายขาด ขึ้นอยู่กับว่าเราดูแลตัวเองมากแค่ไหน สาเหตุคืออะไร และเป็นสิวประเภทไหนครับ สิวแต่ละประเภทมีต้นเหตุแตกต่างกัน ดังนั้นการดูแลรักษาก็อาจจะมีต่างกันไปบ้าง ต้องเลือกให้เหมาะสม
วิธีรักษาสิวที่หลังที่หลาย ๆ คนทำบ่อย ๆ และไม่ได้ช่วยรักษาได้จริง ๆ ก็เช่น การกดสิวเอง ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด ไม่รู้วิธีการกดที่ถูกต้อง นอกจากไม่หายยังอาจทำให้อับเสบมากขึ้น ทิ้งรอยสิว รอยแผลไว้
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อผิด ๆ เช่น การใช้ยาสีฟันรักษาสิว อันนี้ไม่ได้ช่วยรักษาสิวนะครับ หรือพอเป็นสิวแล้วไปกด ไปสครับผิวบ่อย ๆ ยิ่งเป็นการรบกวนผิวมากขึ้น ดังนั้นถ้ามีปัญหาสิวที่หลังมาก ๆ ทายาแล้วไม่ได้ผล ก็ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรักษาสิวให้ได้ผลและตรงจุด ไม่กลับมาเป็นสิวซ้ำซากครับ
วิธีการป้องกันสิวที่หลัง
วิธีป้องกันสิวที่หลังที่ได้ผลดีที่สุด คือการดูแลตัวเอง รักษาความสะอาด สำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตว่ามีจุดไหนบ้างที่กระตุ้นให้เกิดสิวครับ
- อาบน้ำด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนและไม่ควรขัดถูผิวแรงเกินไป (ควรใช้สบู่,ครีมอาบน้ำที่เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน)
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- ลดการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน เช่น ขนม ของทอด
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึก เพื่อให้เซลล์ผิวได้ฟื้นฟู
- ลดความเครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส จะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานปกติ
- ทำความสะอาด ไม่ปล่อยให้ฝุ่น คราบไคล สิ่งสกปรก เกาะอยู่บนผิว
- ไม่ใส่เสื้อผ้าที่สร้างความระคายเคืองให้ผิว อับทึบ ไม่ระบายอากาศ
วิธีการดูแลผิวที่หลัง
วิธีดูแลผิวที่หลัง รวมถึงผิวส่วนอื่น ๆ หลัก ๆ หมออยากให้คนไข้ให้ความสำคัญกับเรื่องของความชุ่มชื้นครับ เพราะถ้าผิวเราแห้ง ก็จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การอุดตัน และเกิดเป็นสิวขึ้นมาได้
การดูแลผิวที่หลัง สามารถทำได้ทั้งการทาครีมบำรุง หรือจะบำรุงผิวด้วยการฉีดเมโส มาเด้คอลลาเจน วิตามินผิวที่หลัง ก็จะช่วยทำให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดสิว หรือการเป็นสิวซ้ำซากครับ
รอยสิว รอยดำ ที่หลังรักษาได้ไหม ?
ปัญหารอยสิวที่หลัง รอยดำ ก็พบได้บ่อย ๆ ครับ คนไข้ที่เป็นสิวที่หลังหลายคนก็ละเลยการรักษาสิวบริเวณนี้ รวมถึงสิวที่หลังมักเกิดเป็นบริเวณกว้าง กระจายไปทั่วแผ่นหลัง ถ้าไม่รักษาสิวให้ถูกวิธี ก็ทำให้เป็นรอยแผล รอยหลุมสิว รอยดำ
สามารถรักษาได้ด้วยการใช้เจล,ครีมรักษารอยสิว แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลา และอาจจะเห็นผลไม่ชัด ถ้าใครอยากให้เห็นผลเร็ว ๆ ชัดเจน ก็สามารถใช้การเลเซอร์รักษารอยสิว การฉีดเมโส ฉีดวิตามินบำรุงผิว ก็จะช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ครับ (สามารถทำหัตถการร่วมกันได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น)
อ่านบทความเพิ่มเติม : ลดรอยสิว รอยแดง ให้หน้าใส วิธีไหนเห็นผล เลือกหัตถการทางการแพทย์วิธีไหนดี ?
สิวที่หลังกดออกได้ไหม ?
สิวที่หลัง กดออกได้ครับ แต่หมอจะไม่แนะนำให้กดเอง อย่างที่บอกไปว่าถ้าไม่ได้กดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้เป็นสิวอักเสบมากกว่าเดิม หรือกดหัวสิวไม่ออก ทำให้เป็นรอยแผลเป็นได้ครับ
สรุปสิวที่หลัง
ปัญหาสิวที่หลังเป็นจุดที่หลาย ๆ คนมองข้ามครับ แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาให้ถูกต้อง ก็จะทิ้งรอยสิว รอยดำ รอยแผล ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนและส่งผลต่อความมั่นใจ ดังนั้นการดูแลผิว การรักษาความสะอาดผิวทั้งตัวจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยครับ
และสำหรับคนที่เป็นสิวที่หลัง เป็นสิวอักเสบมาก ๆ เป็นสิวซ้ำซาก ไม่ควรพยายามบีบหรือกดสิวที่หลังเอง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อรักษาอย่างถูกต้องครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ