ทำความรู้จัก ระบบผิวหนัง
เมื่อพูดถึงสุขภาพและความงาม หลายคนอาจนึกถึงการออกกำลังกายเพื่อดูแลรูปร่าง แต่น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงความสำคัญของ “ระบบผิวหนัง” อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการปกป้องเราจากอันตรายภายนอก
การดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง ไม่เพียงช่วยให้เรามีผิวพรรณที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาสุขภาพโดยรวมของร่างกายด้วยครับ ในบทความนี้ หมอจะพาไปรู้จักกับโครงสร้างและหน้าที่ของผิวหนังในแต่ละชั้นกันใหม่มากขึ้น รวมถึงวิธีการดูแลผิวให้แข็งแรงทั้งด้วยตัวเอง และด้วยหัตถการทางการแพทย์ที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะมีผิวแบบไหน อายุเท่าไร หรือมีปัญหาผิวอะไร บทความนี้จะช่วยให้คนไข้เข้าใจและสามารถดูแลระบบผิวหนังของคุณได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพราะผิวสวย สุขภาพดี เริ่มต้นที่การเข้าใจและดูแล “ระบบผิวหนัง” อย่างถูกวิธีครับ
สารบัญ ระบบผิวหนัง
โครงสร้างระบบผิวหนัง คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
โครงสร้างระบบผิวหนัง คือ องค์ประกอบทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นผิวหนังของมนุษย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันร่างกายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมถึงควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของร่างกาย โดยโครงสร้างนี้ประกอบด้วยชั้นผิว 3 ชั้นหลักครับ คือ
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
- ชั้นหนังแท้ (Dermis)
- ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis)
โครงสร้างระบบผิวแต่ละชั้น มีองค์ประกอบและหน้าที่ต่างกัน แต่จะทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสุขภาพผิวและปกป้องร่างกายโดยรวม การเข้าใจโครงสร้างนี้จะช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผิวอย่างถูกวิธีและครบถ้วน
หมอจะอธิบายให้ฟังในหัวข้อถัดไปครับว่าระบบผิวหนังแต่ละชั้นนั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง และทำไมการดูแลผิวหนังให้แข็งแรงถึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ผิวหนังแต่ละชั้นช่วยอะไรบ้าง ?
1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ปราการด่านแรกของร่างกาย
ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวหนังบนสุด มีความหนาประมาณ 0.05-1.5 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของร่างกาย ชั้นนี้ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดที่ทำหน้าที่สำคัญ เช่น
- ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากร่างกาย รักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว
- ช่วยป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรีย และสารพิษจากภายนอก คอยตรวจจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
- ช่วยผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดสีผิวเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันอันตรายจากรังสี UV ด้วย
- ช่วยเปลี่ยน 7-dehydrocholesterol ให้เป็นวิตามิน D3 ซึ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยในการรับความรู้สึกสัมผัส
2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) ศูนย์กลางของความแข็งแรง
ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้า มีความหนาประมาณ 0.3-3 มิลลิเมตร ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีบทบาทสำคัญหลายประการ เช่น
- ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ป้องกันการฉีกขาดและการหย่อนคล้อย
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายผ่านกระบวนการระเหยของเหงื่อ
- ช่วยในการรับรู้สัมผัส ความเจ็บปวด อุณหภูมิ
- ช่วยป้องกันการแห้งและแตกของผิว ลดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
- ช่วยบำรุงผม เล็บให้แข็งแรง
- ช่วยในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ปรับโครงสร้างของผิวหนังอย่างต่อเนื่อง
3. ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis) แหล่งพลังงานและการป้องกัน
ชั้นใต้ผิวหนัง (Hypodermis) เป็นชั้นที่ลึกที่สุด ประกอบด้วยเซลล์ไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีหน้าที่สำคัญดังนี้
- ช่วยในการเก็บสะสมไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย
- ช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ โดยเฉพาะในสภาวะอากาศหนาวเย็น
- ปกป้องอวัยวะภายในจากแรงกระทบภายนอก
- มีส่วนในการผลิตฮอร์โมนบางชนิด เช่น เอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ข้อควรรู้ : การทำความเข้าใจหน้าที่ของผิวหนังแต่ละชั้น จะช่วยให้คนไข้เห็นภาพรวมของระบบผิวหนังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถดูแลผิวหนังได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพผิวในระยะยาวครับ
ระบบผิวหนังที่ดี แข็งแรง มีลักษณะอย่างไร ?
ระบบผิวหนังที่ดีและแข็งแรง เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และความงามภายนอก หมอขออธิบายลักษณะของระบบผิวหนังที่ดีและแข็งแรง ดังนี้ครับ
- สีผิวสม่ำเสมอ : ไม่หมองคล้ำหรือมีจุดด่างดำมากเกินไป แสดงถึงการทำงานที่สมดุลของเม็ดสีเมลานิน
- ความชุ่มชื้นเหมาะสม : ไม่แห้งกร้านหรือมันเยิ้มจนเกินไป แสดงถึงการทำงานที่ดีของต่อมไขมันและความสามารถในการเก็บกักน้ำของผิว
- ความยืดหยุ่นดี :เมื่อกดผิวแล้วปล่อย ผิวจะกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว แสดงถึงปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินที่เพียงพอในชั้นหนังแท้
- พื้นผิวเรียบเนียน : ไม่หยาบกร้านหรือมีสะเก็ดแห้ง แสดงถึงการผลัดเซลล์ผิวที่สมดุล
- ไม่มีการอักเสบหรือระคายเคือง : เช่น แดง บวม คัน หรือเจ็บ แสดงถึงระบบภูมิคุ้มกันของผิวที่ทำงานได้ดี
- ทนต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก : เช่น แสงแดด ความร้อน หรือความเย็น แสดงถึงมี skin barrier หรือมีเกราะป้องกันผิวที่ดี
- รูขุมขนเล็กและกระชับ : แสดงถึงการทำงานที่ดีของต่อมไขมันและการรักษาความสมดุลของผิว
- ไม่มีริ้วรอยก่อนวัย : ผิวที่แข็งแรงจะไม่แสดงริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร
การมีระบบผิวหนังที่ดีและแข็งแรง ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสวยงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังในระยะยาวได้ครับ
รู้หรือไม่ ? อายุที่มากขึ้น ระบบผิวหนังและการดูแล ก็จะต่างกันออกไปด้วย
ในช่วงอายุที่ต่างกัน ผิวหนังของเรามีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นการดูแลผิวหนังให้เหมาะสมกับช่วงอายุจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งครับ เช่น การดูแลผิวในวัยรุ่นจะเน้นเรื่องการควบคุมความมัน ความกระจ่างใส และป้องกันสิว ในขณะที่การดูแลผิวในวัยผู้ใหญ่จะเน้นการป้องกันริ้วรอยและการคงความชุ่มชื้นของผิวเป็นหลักครับ
1. วัยรุ่น (Teenage Years)
ในช่วงวัยรุ่น ผิวหนังจะมีความมันมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การดูแลผิวในช่วงนี้ควรเน้นการควบคุมความมันและการป้องกันสิว แนะนำให้ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว รวมถึงใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่้อลดปัญหาผิว ป้องกันริ้วรอยไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
2. วัยผู้ใหญ่ต้น (Early Adulthood)
ในช่วงวัยผู้ใหญ่ต้น ผิวหนังจะเริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ และสูญเสียความชุ่มชื้น แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระและคอลลาเจนเพื่อช่วยคงความยืดหยุ่นและลดริ้วรอย การใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำก็สำคัญเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวครับ
3. วัยกลางคนและผู้สูงอายุ (Middle Age and Senior Years)
ในช่วงวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่นและมีริ้วรอยที่เด่นชัด การดูแลผิวในช่วงนี้ควรเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ ไฮยาลูรอน และเรตินอล (Retinol) เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และรักษาความชุ่มชื้น
แต่สำหรับช่วงวัยนี้ การใช้สกินแคร์ก็อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะพวกริ้วรอยแห่งวัย ผิวขาดวอลลุ่ม หน้าตอบ ซึ่งถ้าอยากให้เห็นผลดี การทำหัตถการเพื่อฟื้นฟูผิว เช่น เลเซอร์ การฉีดฟิลเลอร์ โบท็อก หรือใช้พวกเครื่องยกกระชับผิว จะเป็นตัวช่วยที่เห็นผล และตอบโจทย์มากกว่าครับ
การดูแลผิวให้เหมาะสมกับช่วงอายุ ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาสุขภาพผิวให้ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยชะลอการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้นการปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาผิวเฉพาะครับ
วิธีดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง ด้วยตัวเอง
การดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรงด้วยตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน หมอขอแนะนำวิธีการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ดังนี้ครับ
- ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือคลีนเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง
- ทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังและป้องกันการแห้งกร้าน
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสี ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อที่มีโปรตีน เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวจากภายใน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- ออกกำลังกายเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวหนังได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างวัน
- งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ไม่แกะ หรือบีบสิว เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น
วิธีดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรง ด้วยหัตถการทางการแพทย์
นอกจากการดูแลผิวด้วยตัวเองแล้ว การเลือกทำหัตถการทางการแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้แข็งแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจนครับ ซึ่งก็จะมีหลายรูปแบบ หลายหัตถการที่มีคุณสมบัติและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามนี้ครับ
1. ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นหัตถการที่ใช้สารเติมเต็มไฮยาลูรอน หรือ ไฮยาลูรอนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเพื่อเติมเต็มริ้วรอยลึก ร่องลึกบนใบหน้า และเพิ่มวอลลุ่มให้กับบริเวณที่มีการสูญเสียความแน่นของผิว เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือขมับ
หลังฉีดฟิลเลอร์ผิวจะมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันทีหลังจากการฉีด และสามารถคงอยู่ได้นาน 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้ครับ
2. ฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่ใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin) เพื่อลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว และรอยตีนกา โดยจะลดการทำงานของกล้ามเนื้อ มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว จึงช่วยลดริ้วรอย ลดกราม ปรับรูปหน้าและทำให้ผิวเต่งตึงได้ครับ ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ คงอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อก ตำแหน่งที่ฉีด และปริมาณยาที่ใช้
3. เครื่องยกกระชับผิว Hifu Ultraformer III, Ulthera, Thermage
การยกกระชับผิวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการดูแลระบบผิวหนังให้แข็งแรงและกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเครื่องยกกระชับผิวที่ได้รับความนิยมจะมี Hifu, Ulthera, Thermage
Hifu Ultraformer III และ Ulthera เป็นการยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ โดยคลื่นเสียงจะส่งผ่านลงไปถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังที่ช่วยพยุงผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้นทันทีหลังทำ และค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว
ส่วน Thermage จะเป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ในการกระชับผิว โดยส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูกระชับ ผิวแน่น เหนียงใต้คางลดลง หน้าได้รูป และเรียบเนียนขึ้นครับ
คนไข้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างของ Hifu Ultraformer III, Ulthera และ Thermage ได้ครับ
4. ฉีดสาร Biostimulator
การฉีดสาร Biostimulator เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยปรับระบบผิวหนังให้แข็งแรง ดูกระชับและเรียบเนียนขึ้นได้ครับ โดยจะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ และอยู่ได้นาน 1-2 ปี เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิว และเพิ่มความกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด มียี่ห้อ Biostimulator ที่นิยม คือ Sculptra และ Radiesse ครับ
5. ฉีดเมโสหน้าใส
การฉีดเมโสหน้าใส หรือเมโสเทอราปี เป็นการฉีดสารบำรุงผิว เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้าให้กลับดูสดใส เปล่งปลั่ง ผิวเรียบเนียน แข็งแรงมากขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องการพักฟื้นนาน
สำหรับเมโสหน้าใส จะมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ คนไข้สามารถเลือกได้ตามปัญหาผิวที่กังวล หรือให้แพทย์แนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมให้กับเราได้ครับ
6. ฉีด Skin Booster
การฉีด Skin Booster เป็นการฉีดสารบำรุงผิวที่เข้มข้นเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อฟื้นฟู กระตุ้นเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินครับ
ส่วนใหญ่สาร Skin Booster จะประกอบด้วยส่วนผสมของไฮยาลูรอนิคแอซิด วิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านและเหนื่อยล้า ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน เปล่งปลั่งจากภายใน มีคุณภาพผิวดีขึ้น แข็งแรงพอที่จะป้องกันตัวเองจากมลภาวะ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้ครับ
สำหรับ Skin Booster จะมีหลายยี่ห้อให้เลือกใช้ คนไข้สามารถเลือกได้ตามปัญหาผิวที่กังวล หรือให้แพทย์แนะนำยี่ห้อที่เหมาะสมให้กับเราได้ครับ
หัตถการเหล่านี้มีข้อดี คือ ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนังอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถปรับใช้ได้กับปัญหาผิวที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามก่อนการทำหัตถการใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือมีโรคผิวหนังอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างตรงจุดครับ
สรุประบบผิวหนังสำคัญยังไง
ระบบผิวหนังแต่ละชั้น มีบทบาทสำคัญในการปกป้องร่างกายและรักษาสุขภาพผิวโดยรวม การดูแลที่ถูกต้องจะช่วยให้ทุกชั้นของผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผิวแข็งแรง สุขภาพดี และมีความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
สำหรับคนไข้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล ทีมแพทย์ V Square Clinic ยินดีให้คำปรึกษาและคำแนะนำที่เหมาะสมกับผิวของคนไข้ เพื่อให้ระบบผิวหนังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว หรือหากมีข้อสงสัยอื่น ๆ สามารถปรึกษาหมอได้ในช่องทางออนไลน์ หรือเข้ามาปรึกษาหมอที่คลินิก ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ
สามารถ comment สอบถามเข้ามาด้านล่างได้เลยนะครับ หมอตอบเองครับ