ไขมันช่องท้อง อันตราย! แนะนำวิธีลดไขมันช่องท้อง เพื่อหุ่นสวย สุขภาพดี

Reading Time: 4 minutes

ไขมันช่องท้อง คืออะไร ?

ไขมันช่องท้อง

ไขมันช่องท้อง หรือ visceral fat คือ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายเนื่องจากเผาผลาญไม่หมด ทำให้ไขมันไปเกาะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะในช่องท้อง ทำให้มีลักษณะลงพุง ย้วย ย้อย ซึ่งถือเป็นจุดที่อันตราย เนื่องจากไขมันช่องท้องเหล่านี้ จะขัดขวางทางเดินของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกาย และเป็นตัวก่อโรคต่าง ๆ

ในบทความนี้ หมอจะแนะนำวิธีการลดไขมันหน้าท้อง การดูแลตัวเอง สาเหตุและอันตรายจากไขมันหน้าท้อง เพื่อให้ป้องกันและแก้ไขได้ตรงจุดครับ

สารบัญ ไขมันช่องท้อง


ไขมันช่องท้อง เกิดจากอะไร ?

ไขมันช่องท้องแต่ละชั้น
ไขมันช่องท้องอยู่ชั้นในสุดของพุง
  • ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทไขมัน

เมื่อรับประทานอาหารที่เป็นไขมัน รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเป็นปริมาณมากเกินไป ทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด สุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นไขมัน เกิดการสะสมและแทรกซึมอยู่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ

  • ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการไม่ออกกำลังกาย

สาเหตุที่ร่างกายเผาผลาญไขมันไม่หมด เนื่องมาจากชีวิตประวันที่ไม่ค่อยมีการขยับ หรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ใช้พลังงานน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็ยังพบภาวะไขมันช่องท้องได้ครับ

VSqare Tips (VSQ Tips)

ไขมันใต้ผิวหนังแตกต่างกับไขมันในช่องท้องหรือไม่ ? ทั้งสองจัดเป็นไขมันหน้าท้องแต่ต่างกันครับ โดยไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) จะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังโดยตรง มีหน้าที่ช่วยปกป้องอวัยวะภายในและช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย แต่ถ้าหากมีไขมันประเภทนี้สะสมมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักตัวเกิน เกิดปัญหาต้นแขนใหญ่ ขาเบียด หรือโรคอ้วนตามมาได้


การวัดค่าไขมันในช่องท้อง

วิธีคำนวณไขมันในช่องท้อง สามารถประเมินได้จากเส้นรอบเอวด้วยตัวเอง หรือใช้เครื่องวัดองค์ประกอบของร่างกายในการคำนวณที่มีความแม่นยำมากขึ้น โดยแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้ครับ

ประเมินจากเส้นรอบเอว

หากอยากทราบว่าตอนนี้มีไขมันในช่องท้องมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นสามารถวัดด้วยตัวเองได้ เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement โดยการใช้สายวัดสัดส่วน เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ

วิธีวัด

  1. วัดรอบเอว โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
  2. วัดรอบสะโพก โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
  3. นำตัวเลขรอบเอว มาหารด้วยตัวเลขรอบสะโพก จะได้ทศนิยม 2 หลัก

ตัวอย่าง : รอบเอว 74 ÷ 90 = 0.88

วัดค่าไขมันในช่องท้อง

สำหรับไขมันในช่องท้องค่าปกติ ของผู้หญิงและผู้ชายจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ

  • ผู้หญิง ที่ได้ค่ามากกว่า 0.80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
  • ผู้ชาย ที่ได้ค่ามากกว่า 0.95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ

เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย

การใช้เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer) ในการคำนวณไขมันช่องท้องเป็นการใช้เทคโนโลยี Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) ที่ทำงานโดยการอ่านค่าจากความต้านทานของกระแสไฟฟ้าผ่านเซลล์ ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าต่ำที่ไม่เป็นอันตรายไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายครับ

วิธีนี้มีความแม่นยำพอสมควร โดยเครื่องจะวิเคราะห์และแสดงค่าองค์ประกอบในร่างกายต่าง ๆ เช่น มวลกระดูก มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน รวมถึงระดับไขมันในช่องท้อง

เครื่องวัดองค์ประกอบของร่างกาย

หลังจากวัดแล้วไขมันในช่องท้อง ไม่ควรเกินเท่าไหร่นั้น ? ค่าปกติไม่ควรเกินระดับ 9 ครับ โดยสามารถอ่านค่าที่ได้ตามตารางไขมันช่องท้องด้านล่าง

ระดับข้อแนะนำ
ต่ำกว่า 9ไขมันช่องท้องอยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรควบคุมให้อยู่ในระดับนี้อยู่เสมอ
10-14ไขมันช่องท้องอยู่ในเกณฑ์สูง ควรเริ่มลดระดับไขมันด้วยการออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
มากกว่า 15ไขมันช่องท้องอยู่ในระดับสูงมาก ควรออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมรับประทานอาหารโดยด่วน มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคร้ายแรง

ไขมันในช่องท้องเยอะ อันตรายไหม ?

การมีไขมันช่องท้องปริมาณมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆ เนื่องจากไขมันเหล่านี้ไปเกาะอยู่ตามอวัยวะในร่างกาย หมอสรุปโรคที่เกิดจากไขมันช่องท้องมาไว้ดังนี้

โรคที่เกิดจากไขมันช่องท้องเยอะมากเกินไป

โรคที่เกิดจากไขมันช่องท้องเยอะมากเกินไป
ไขมันในช่องท้องมากเกินไป ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ
  • โรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากไขมันเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
  • โรคไขมันในเลือดสูง ร่างกายกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือคอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
  • โรคความดันโลหิตสูง ร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
  • โรคหัวใจ เกิดจากไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก และไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • โรคอัลไซเมอร์ ไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ
  • ภาวะไขมันพอกตับ ไขมันจะขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาล
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ไขมันขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ ร่างกายอาจหยุดหายใจขณะนอนหลับได้
  • โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด ไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ไขมันทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
  • ภาวะภูมิแพ้ ไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

ในการรักษาหากมีไขมันในช่องท้องเยอะจนก่ออันตรายต่อสุขภาพ สามารถวัดไขมันในเลือด (วัด Total cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c) เพื่อเช็กระดับไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และวางแผนการรักษากับแพทย์ อาจมีการให้ยาลดไขมัน เพื่อลดไขมันในเลือดที่ผิดปกติ

ลดการกินน้ำตาล
ลดการกินน้ำตาล เพื่อลดการสะสมของไขมันในช่องท้อง

นอกจากนี้ ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการกินคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ลดแป้งแปรรูป และที่สำคัญคือ High fructose corn syrup (น้ำเชื่อมข้าวโพด ร่างกายไม่ย่อยเหมือนกับการกินน้ำตาลในผลไม้ทั่วไป ทำให้สะสมในช่องท้อง) รวมไปถึงการออกกำลังกาย ขยับตัวระหว่างวัน งดดื่มแอลกอฮอล์และพักผ่อนให้เพียงพอร่วมด้วย

ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร ?

ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก

หลายคนที่อยากมีหุ่นดี มักติดกับดักตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนัก ยิ่งน้อยยิ่งดี ซึ่งความจริงแล้ว น้ำหนักน้อย ≠ หุ่นดีครับ เพราะร่างกายเรามีน้ำหนักได้จากหลายส่วน ตั้งแต่น้ำ ไขมัน อวัยวะ ฯลฯ หมออยากให้เข้าใจการลดน้ำหนักและลดไขมันก่อนครับว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนักเพื่อให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลง ทำให้ได้ง่ายครับ หากอดหรือทำให้ร่างกายขาดอาหารมาก ๆ ก็ทำให้น้ำหนักลดลงได้แล้ว แต่เป็นวิธีการที่ผิดและไม่ปลอดภัย น้ำหนักที่ลดลงอาจเป็นน้ำหรือกล้ามเนื้อ และไม่ได้ช่วยลดไขมัน น้ำหนักลดลงก็จริงแต่สัดส่วนไม่ได้ลดลงตาม รวมไปถึงอาจมีอาการโยโย่และสุขภาพไม่ดี

ลดไขมัน

ตามหลักแล้วการจะพิจารณาว่าคน ๆ หนึ่ง มีภาวะอ้วนหรือไม่ ต้องวัดจากปริมาณไขมันในร่างกาย (Body Fat) โดยมี 2 จุดที่ควรลด คือ ไขมันใต้ผิวหนัง (ต้นแขน ต้นขา สะโพก หน้าท้อง) และไขมันในช่องท้อง (เกาะตามอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ตับ ไต) ทำให้มีปัญหาอ้วนลงพุง เอวหนา ท้องป่อง ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ

ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักให้ได้หุ่นสวย ฟิต เฟิร์ม ควรมุ่งเน้นการลดไขมัน ไม่ใช่ลดแต่น้ำหนักเพียงอย่างเดียว จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาพที่ดีมากกว่าครับ


วิธีลดไขมันในช่องท้องด้วยตัวเอง

การลดไขมันช่องท้องด้วยตัวเอง ช่วยเสริมสร้างหุ่นสวย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคร้ายแรง และมีสุขภาพดีในระยะยาว สามารถปฏิบัติได้ตาม 6 ข้อดังนี้ครับ

1. ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ

คาร์ดิโอลดไขมันช่องท้อง

คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจ การไหลเวียนเลือด และการทำงานของปอด ให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น

การออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน จากน้ำตาลและไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ การคาร์ดิโอสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ วันละ 30 นาที 3-4 วัน/สัปดาห์ ไปจนถึงวันละ 50 นาทีหรือหนึ่งชั่วโมง

2. ควบคุมอาหาร

ไขมันช่องท้อง ลดยังไงถึงเห็นผลดีในระยะยาว การควบคุมอาหารสำคัญที่สุดครับ เพราะเป็นการจัดการปัญหาไขมันช่องท้องจากต้นเหตุ แต่ไม่ควรอดอาหารเพื่อหวังจะให้ตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนักลดลงเพียงอย่างเดียวครับ ควรลดอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน โดยเฉพาะ

  • น้ำตาล ของหวาน
  • ของทอด
  • ของมัน
  • อาหารที่มีส่วนผสมของ tran fat (เนยเทียม มาการีน ขนมซอง)

นอกจากนี้การทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้รู้สึกอยากอาหาร อยากกินเยอะ และเกิดการสะสมของไขมันได้ง่าย แนะนำให้หันมาบริโภคอาหารประเภทไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต อะโวคาโด ถั่วและเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีงานวิจัยที่พบว่าการสามารถช่วยลดพุง ลดไขมันช่องท้องได้ครับ

ในการลดไขมัน วิธีการควบคุมแคลอรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือทำให้สามารถรับประทานอาหารได้ตามความต้องการของร่างกาย เผาผลาญหมด ไม่มีส่วนที่เหลือไปเป็นไขมันสะสม แต่ข้อเสียคือแต่ละคนและแต่ละวันใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผู้ที่ควบคุมอาหารด้วยวิธีนี้ ต้องรู้จักร่างกายตัวเอง และทราบว่าแต่ละวันต้องการพลังงานกี่แคลอรี่ เพื่อจัดการประเภทอาหารอย่างเหมาะสม

การควบคุมอาหารอย่างหนัก และนับแคลอรี่อย่างผิด ๆ นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังทำให้เกิดความเครียด และไม่เป็นผลดีในระยะยาว

3. การทำ IF (Intermittent Fasting)

if ลดไขมันช่องท้อง

การทำ IF เพื่อลดน้ำหนัก เป็นการควบคุมแคลอรี่และจำกัดเวลาในการทานอาหาร แต่ทั้งนี้การลดน้ำหนักและการลดไขมันที่ดี ไม่ควรเป็นวิธีที่ทำให้เกิดความเครียด หรือทำจนหักโหมมากเกินไป วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ต้องใช้วินัยในการทำสูง ด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา (Feeding) และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลา (Fasting) แบ่งเป็นระดับ ดังนี้

  1. Feeding 8 ชั่วโมง / Fasting 16 ชั่วโมง
  2. Feeding 5 ชั่วโมง / Fasting 19 ชั่วโมง
  3. Fasting 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้ง / สัปดาห์ วันอื่น ๆ กินอาหารปกติ
  4. Fasting 2 วัน กินอาหารปกติ 5 วัน (วันที่กินปกติต้องลดแคลอรี่ลงเหลือ ¼ ที่ได้รับต่อวัน)
  5. อดเช้า – กินค่ำ (The Warrior Diet) กลางวันดื่มได้แค่น้ำเปล่า และรับอาหารหนักในมื้อค่ำ
  6. อดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate Day Fasting)

โดยแต่ละคนต้องประเมินถึงความพร้อมของตัวเองก่อนเข้าโปรแกรมแบบต่าง ๆ ซึ่งมีความยากง่ายต่างกันไปครับ ที่ได้รับความนิยมคือแบบที่ 1

ในการทำ IF มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ 3.6-14% ช่วยลดไขมันในช่องท้อง ไขมันในเลือดได้ดี โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำและสมองดีขึ้นได้ด้วย

*การทำ IF ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

4. ควบคุมความเครียด

ความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคอ้วนซึ่งหลายคนมองข้าม โดยความเครียดจะส่งผลต่อพฤติกรรม เมื่อมีความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Cortisol ออกมา เมื่อหลั่งมากเกินไปจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือด ทำให้อยากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ระบบการทำงานของร่างกายผิดเพี้ยน

บางคนจะรู้สึกเบื่อหรืออยากอาหารอยู่ตลอดเวลา มีการรับประทานอาหารมากกว่าปกติ เมื่อเป็นหนักเข้าก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว

สำหรับคนที่มีปัญหาไขมันช่องท้องที่เกิดจากความเครียด ถ้าลดความเครียดได้ ร่างกายกลับมาทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดปัญหาไขมันสะสมได้ครับ ในการลดความเครียดเบื้องต้น มีขั้นตอนดังนี้

  1. วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
  2. พิจารณาว่าสามารถแก้ไขจากต้นเหตุได้หรือไม่
  3. หาวิธีผ่อนคลายตัวเอง เช่น หากใจเข้าลึก ๆ, ทำสมาธิ, ดูภาพยนตร์, การฟังเพลง, สร้างอารมณ์ขันและเสียงหัวเรา, คิดบวก

5. หลับพักผ่อนให้เพียงพอ

หลับพักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนส่งผลอย่างยิ่งต่อระบบเผาผลาญ ขณะนอนหลับร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้สมองระงับความอยากอาหาร กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานขณะนอนหลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่ทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อเอาพลังงานมาใช้ เกิดการต้านทานอินซูลิน ทำให้การเผาผลาญกลูโคสลดลง และเกิดไขมันสะสมได้ง่าย ลดไขมันได้ยาก ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินตามมา

มีงานวิจัยว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเลปตินได้น้อย มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้การลดไขมันช่องท้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การนอนจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันครับ ควรนอนให้เพียงพอตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดให้อยู่ในระดับปกติ

6. หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และไขมันในช่องท้อง จากประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ลดลง ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน (ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา เพื่อนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน)

ทำให้อ้วนง่ายขึ้น เส้นเลือดอุดตันได้เร็วขึ้น และเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หรือโรคหัวใจ ดังนั้นการลดหรือเลิกการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างปกติ มีการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดปัญหาไขมันในช่องท้องได้

*การสูบบุหรี่มี นิโคติน ทาร์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง มีความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลยก็ตาม

สำหรับวิธีเหล่านี้เป็นการกำจัดไขมันและป้องกันการเกิดไขมันช่องท้องที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันครับ บางคนอาจต้องใช้เวลาและวินัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ


วิธีลดไขมันในช่องท้อง เร่งด่วน

เนื่องจากเป็นไขมันที่อยู่ภายในช่องท้อง สะสมลงไปลึกใต้ผิวหนัง ไม่สามารถสลายได้โดยตรงทันทีเหมือนไขมันใต้ผิวหนัง การลดไขมันช่องท้องแบบเร่งด่วนค่อนข้างยากครับ ต้องใช้การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นหลัก

แต่สำหรับใครที่มีปัญหาไขมันสะสม น้ำหนักเกิน สามารถทำร่วมกับวิธีลดไขมันหน้าท้องอย่างเร่งด่วนด้วยการใช้เครื่องมือ หรือการทำหัตถการต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยลดไขมันช่องท้องโดยตรง แต่สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิวหนังได้อย่างเห็นผล ทั้งนี้ควรเลือกวิธีที่มีความปลอดภัย และเหมาะกับสภาพร่างกายครับ

การทำ Coolsculpting

ลดไขมันช่องท้องด้วย Coolsculpting
Coolsculpting

การลดไขมันหน้าท้องด้วย Coolsculpting คือการกำจัดเซลล์ไขมันถาวร โดยปกติเซลล์ไขมันในร่างกายจะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงอายุ 20 ปี และจะไม่เพิ่มขึ้นอีก เวลาที่เราอ้วนหรือผอมจะเกิดจากการที่เซลล์ไขมันขยายตัวหรือฟีบลงครับ

Coolsculpting จึงผลิตขึ้นมาเพื่อลดจำนวนเซลล์ไขมันโดยเฉพาะ (สามารถลดเซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวหนังได้เท่านั้น) โดยการปล่อยความเย็น -11°C แช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมานาน 35 นาที เซลล์ไขมันจะตายและถูกสลายไปตามกลไกขับของเสียของร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ไขมันจะไม่เพิ่มขึ้นอีก

การทำงาน Coolsculpting
ขั้นตอนการทำงานของ Coolsculpting

เครื่อง Coolsculpting เป็นวิธีสลายไขมันหน้าท้องอย่างเร่งด่วนที่มีความปลอดภัยสูง โดยตัวเครื่องจะแช่แข็งเฉพาะเซลล์ไขมันในชั้นไขมันบริเวณที่ต้องการลด ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก จะเริ่มเห็นผลว่าชั้นไขมันยุบลงเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน เห็นผลเต็มที่ใช้เวลา 3 เดือน และสามารถทำเพิ่มได้ในจุดเดียวกันเมื่อผ่านไป 1 เดือนครับ

มี 50 งานวิจัย ที่ยืนยันว่า CoolSculpting
สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันในบริเวณที่ทำได้ 20-30% ต่อการทำ 1 ครั้ง

หมอเขียนอธิบายเกี่ยวกับการทำ Coolsculpting ไว้ในบทความ CoolSculpting คืออะไร ? VS การดูดไขมัน VS การสลายไขมันส่วนเกินด้วยวิธีต่าง ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ครับ

เมโสแฟตสลายไขมัน

เมโสแฟตสลายไขมัน เป็นวิธีสลายไขมันเฉพาะจุดด้วยการฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์สลายไขมันเข้าไปบริเวณที่ต้องการเพื่อช่วยสลายไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน โดยสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้อง

ทั้งนี้การฉีดแฟตจะไม่เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมปริมาณมาก เพราะการฉีด 1 ครั้งไขมันจะสลายได้ประมาณ 10-15% ทำให้ต้องทำหลายครั้งถึงเห็นผล ดังนั้นแพทย์อาจแนะนำให้ทำ Coolsculpting สลายไขมันแทนจะเห็นผลที่เร็วและชัดเจนกว่าครับ

เมโสแฟตสลายไขมัน

การดูดไขมัน

แม้การดูดไขมันดูจะเป็นวิธีกำจัดไขมันที่เห็นผลเร็ว แต่ไม่สามารถช่วยลดไขมันในช่องท้องได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากไขมันในจุดนี้จะติดกับลำไส้ และอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ถ้าดูดออกจะส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ ส่วนที่ดูดออกได้จะมีเพียงไขมันหน้าท้องบริเวณใต้ผิวหนังเท่านั้นครับ

นอกจากนี้การดูดไขมันหน้าท้องถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กอาจต้องฉีดยาชาในปริมาณมาก หรือในบางเคสต้องใช้ยาสลบ หลังทำมีแผลขนาดเล็ก เสี่ยงต่ออาการบวมช้ำ จึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้น หรือกลัวเจ็บครับ


สรุปไขมันช่องท้อง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามก่อนสายเกินแก้

ไขมันช่องท้อง เป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามครับ นอกจากจะทำให้หุ่นไม่สวย ลงพุง พุงย้อย ไขมันเหล่านี้ยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่อันตราย ควรหาวิธีป้องกันและวิธีลดไขมันช่องท้องที่ยั่งยืน เพื่อรักษาทั้งสุขภาพและรูปร่างของตัวเองครับ


อ้างอิง


สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่มีข้อสงสัยเพิ่มเติม ทีมแพทย์ V Square Clinic ทุกคนยินดีให้คำปรึกษาฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถปรึกษาหมอทาง inbox facebook หรือ Line นี้ได้เลยครับ หมอตอบเองครับ
Banner_Web_หมอให้คำปรึกษา_หมอ42คน
บทความแนะนำ

หลังฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง ? มีอาหารอะไรที่ควรระวัง ควรกิน ควรเลี่ยง

Reading Time: 3 minutes- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง ? - หลังฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง ? - หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรกินอะไรบ้าง ? - ถ้าเผลอกินอาหาร เครื่องดื่มที่หมอห้าม จะมีผลข้างเคียงไหม ? - คำถามที่พบบ่อย- ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง ? - หลังฉีดฟิลเลอร์ ห้ามกินอะไรบ้าง ? - หลังฉีดฟิลเลอร์ ควรกินอะไรบ้าง ? - ถ้าเผลอกินอาหาร เครื่องดื่มที่หมอห้าม จะมีผลข้างเคียงไหม ? - คำถามที่พบบ่อย

December 18, 2024 อ่านต่อ

ฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง คืออะไร ? เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ?

Reading Time: 3 minutes- ฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง คืออะไร ? - สาเหตุที่ทำให้ติ่งหูยาน - สาเหตุที่ทำให้หูกาง - ฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง เหมาะกับใคร ? ช่วยอะไรบ้าง ? - เปรียบเทียบ ฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง VS ศัลยกรรมตกแต่งใบหู - ฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง ยี่ห้อไหนดี ? - ฉีดฟิลเลอร์ติ่งหู หูกาง ใช้กี่ CC ?

ฉีดฟิลเลอร์คาง vs ผ่าตัดคาง แต่ละวิธี มีข้อดี-ข้อเสียอย่า...

Reading Time: 6 minutes- ฉีดฟิลเลอร์คาง คืออะไร ? - ฉีดฟิลเลอร์คาง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ? - ฟิลเลอร์คาง เหมาะกับใคร ? - ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม ? - ฟิลเลอร์คาง มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร ?

ulthera prime รุ่นใหม่ เทียบกับรุ่นเก่าต่างกันอย่างไร ? เ...

Reading Time: 3 minutes- ulthera prime คืออะไร ? - ulthera prime ช่วยอะไรได้บ้าง ? - ulthera prime ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง ? - ขั้นตอนการทำ ulthera prime - ulthera prime กี่วันเห็นผล ?

5 อาการหลังทำ HIFU ผลข้างเคียง เจ็บ บวม ช้ำ ปกติหรือไม่ ด...

Reading Time: 2 minutes- หลัง HIFU ผลข้างเคียง มีอะไรบ้าง? - วิธีดูแลตัวเองหลังทำ hifu เพื่อคงผลลัพธ์ได้นานขึ้น - เลือกคลินิกทำ hifu ที่ไหนปลอดภัย เห็นผล

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษานโยบายความเป็นส่วนตัวและจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ปุ่มตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า