ไขมันช่องท้อง คืออะไร ?
ไขมันช่องท้อง หรือ visceral fat คือ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายเนื่องจากเผาผลาญไม่หมด ทำให้ไขมันไปเกาะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะในช่องท้อง ทำให้มีลักษณะลงพุง ย้วย ย้อย ซึ่งถือเป็นจุดที่อันตราย เนื่องจากไขมันช่องท้องเหล่านี้ จะขัดขวางทางเดินของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกาย และเป็นตัวก่อโรคต่าง ๆ
ในบทความนี้ หมอจะแนะนำวิธีการลดไขมันหน้าท้อง การดูแลตัวเอง สาเหตุและอันตรายจากไขมันหน้าท้อง เพื่อให้ป้องกันและแก้ไขได้ตรงจุดครับ
สารบัญ ไขมันช่องท้อง
ไขมันช่องท้อง เกิดจากอะไร ?
- ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทไขมัน
เมื่อรับประทานอาหารที่เป็นไขมัน รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเป็นปริมาณมากเกินไป ทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด สุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นไขมัน เกิดการสะสมและแทรกซึมอยู่บริเวณอวัยวะต่าง ๆ
- ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการไม่ออกกำลังกาย
สาเหตุที่ร่างกายเผาผลาญไขมันไม่หมด เนื่องมาจากชีวิตประวันที่ไม่ค่อยมีการขยับ หรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ไม่ออกกำลังกาย ทำให้ใช้พลังงานน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็ยังพบภาวะไขมันช่องท้องได้ครับ
ไขมันใต้ผิวหนังแตกต่างกับไขมันในช่องท้องหรือไม่ ? ทั้งสองจัดเป็นไขมันหน้าท้องแต่ต่างกันครับ โดยไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) จะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังโดยตรง มีหน้าที่ช่วยปกป้องอวัยวะภายในและช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย แต่ถ้าหากมีไขมันประเภทนี้สะสมมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักตัวเกิน เกิดปัญหาต้นแขนใหญ่ ขาเบียด หรือโรคอ้วนตามมาได้
การวัดค่าไขมันในช่องท้อง
วิธีคำนวณไขมันในช่องท้อง สามารถประเมินได้จากเส้นรอบเอวด้วยตัวเอง หรือใช้เครื่องวัดองค์ประกอบของร่างกายในการคำนวณที่มีความแม่นยำมากขึ้น โดยแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้ครับ
ประเมินจากเส้นรอบเอว
หากอยากทราบว่าตอนนี้มีไขมันในช่องท้องมากน้อยแค่ไหน เบื้องต้นสามารถวัดด้วยตัวเองได้ เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement โดยการใช้สายวัดสัดส่วน เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ
วิธีวัด
- วัดรอบเอว โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- วัดรอบสะโพก โดยใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
- นำตัวเลขรอบเอว มาหารด้วยตัวเลขรอบสะโพก จะได้ทศนิยม 2 หลัก
ตัวอย่าง : รอบเอว 74 ÷ 90 = 0.88
สำหรับไขมันในช่องท้องค่าปกติ ของผู้หญิงและผู้ชายจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ
- ผู้หญิง ที่ได้ค่ามากกว่า 0.80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
- ผู้ชาย ที่ได้ค่ามากกว่า 0.95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย
การใช้เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer) ในการคำนวณไขมันช่องท้องเป็นการใช้เทคโนโลยี Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) ที่ทำงานโดยการอ่านค่าจากความต้านทานของกระแสไฟฟ้าผ่านเซลล์ ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าต่ำที่ไม่เป็นอันตรายไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายครับ
วิธีนี้มีความแม่นยำพอสมควร โดยเครื่องจะวิเคราะห์และแสดงค่าองค์ประกอบในร่างกายต่าง ๆ เช่น มวลกระดูก มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน รวมถึงระดับไขมันในช่องท้อง
หลังจากวัดแล้วไขมันในช่องท้อง ไม่ควรเกินเท่าไหร่นั้น ? ค่าปกติไม่ควรเกินระดับ 9 ครับ โดยสามารถอ่านค่าที่ได้ตามตารางไขมันช่องท้องด้านล่าง
ระดับ | ข้อแนะนำ |
---|---|
ต่ำกว่า 9 | ไขมันช่องท้องอยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรควบคุมให้อยู่ในระดับนี้อยู่เสมอ |
10-14 | ไขมันช่องท้องอยู่ในเกณฑ์สูง ควรเริ่มลดระดับไขมันด้วยการออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร |
มากกว่า 15 | ไขมันช่องท้องอยู่ในระดับสูงมาก ควรออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมรับประทานอาหารโดยด่วน มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคร้ายแรง |
ไขมันในช่องท้องเยอะ อันตรายไหม ?
การมีไขมันช่องท้องปริมาณมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆ เนื่องจากไขมันเหล่านี้ไปเกาะอยู่ตามอวัยวะในร่างกาย หมอสรุปโรคที่เกิดจากไขมันช่องท้องมาไว้ดังนี้
โรคที่เกิดจากไขมันช่องท้องเยอะมากเกินไป
- โรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากไขมันเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
- โรคไขมันในเลือดสูง ร่างกายกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือคอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
- โรคความดันโลหิตสูง ร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง
- โรคหัวใจ เกิดจากไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนัก และไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- โรคอัลไซเมอร์ ไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ
- ภาวะไขมันพอกตับ ไขมันจะขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาล
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ไขมันขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ ร่างกายอาจหยุดหายใจขณะนอนหลับได้
- โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด ไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ไขมันทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ และนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะภูมิแพ้ ไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
ในการรักษาหากมีไขมันในช่องท้องเยอะจนก่ออันตรายต่อสุขภาพ สามารถวัดไขมันในเลือด (วัด Total cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c) เพื่อเช็กระดับไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดดี คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และวางแผนการรักษากับแพทย์ อาจมีการให้ยาลดไขมัน เพื่อลดไขมันในเลือดที่ผิดปกติ
นอกจากนี้ ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการกินคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล ลดแป้งแปรรูป และที่สำคัญคือ High fructose corn syrup (น้ำเชื่อมข้าวโพด ร่างกายไม่ย่อยเหมือนกับการกินน้ำตาลในผลไม้ทั่วไป ทำให้สะสมในช่องท้อง) รวมไปถึงการออกกำลังกาย ขยับตัวระหว่างวัน งดดื่มแอลกอฮอล์และพักผ่อนให้เพียงพอร่วมด้วย
ลดไขมัน กับ ลดน้ำหนัก ต่างกันอย่างไร ?
หลายคนที่อยากมีหุ่นดี มักติดกับดักตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนัก ยิ่งน้อยยิ่งดี ซึ่งความจริงแล้ว น้ำหนักน้อย ≠ หุ่นดีครับ เพราะร่างกายเรามีน้ำหนักได้จากหลายส่วน ตั้งแต่น้ำ ไขมัน อวัยวะ ฯลฯ หมออยากให้เข้าใจการลดน้ำหนักและลดไขมันก่อนครับว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักเพื่อให้ตัวเลขบนตาชั่งลดลง ทำให้ได้ง่ายครับ หากอดหรือทำให้ร่างกายขาดอาหารมาก ๆ ก็ทำให้น้ำหนักลดลงได้แล้ว แต่เป็นวิธีการที่ผิดและไม่ปลอดภัย น้ำหนักที่ลดลงอาจเป็นน้ำหรือกล้ามเนื้อ และไม่ได้ช่วยลดไขมัน น้ำหนักลดลงก็จริงแต่สัดส่วนไม่ได้ลดลงตาม รวมไปถึงอาจมีอาการโยโย่และสุขภาพไม่ดี
ลดไขมัน
ตามหลักแล้วการจะพิจารณาว่าคน ๆ หนึ่ง มีภาวะอ้วนหรือไม่ ต้องวัดจากปริมาณไขมันในร่างกาย (Body Fat) โดยมี 2 จุดที่ควรลด คือ ไขมันใต้ผิวหนัง (ต้นแขน ต้นขา สะโพก หน้าท้อง) และไขมันในช่องท้อง (เกาะตามอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ ตับ ไต) ทำให้มีปัญหาอ้วนลงพุง เอวหนา ท้องป่อง ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ
ดังนั้น หากต้องการลดน้ำหนักให้ได้หุ่นสวย ฟิต เฟิร์ม ควรมุ่งเน้นการลดไขมัน ไม่ใช่ลดแต่น้ำหนักเพียงอย่างเดียว จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และส่งเสริมสุขภาพที่ดีมากกว่าครับ
วิธีลดไขมันในช่องท้องด้วยตัวเอง
การลดไขมันช่องท้องด้วยตัวเอง ช่วยเสริมสร้างหุ่นสวย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคร้ายแรง และมีสุขภาพดีในระยะยาว สามารถปฏิบัติได้ตาม 6 ข้อดังนี้ครับ
1. ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจ การไหลเวียนเลือด และการทำงานของปอด ให้สามารถนำออกซิเจนมาใช้ได้มากขึ้น
การออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน จากน้ำตาลและไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ฯลฯ การคาร์ดิโอสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ วันละ 30 นาที 3-4 วัน/สัปดาห์ ไปจนถึงวันละ 50 นาทีหรือหนึ่งชั่วโมง
2. ควบคุมอาหาร
ไขมันช่องท้อง ลดยังไงถึงเห็นผลดีในระยะยาว การควบคุมอาหารสำคัญที่สุดครับ เพราะเป็นการจัดการปัญหาไขมันช่องท้องจากต้นเหตุ แต่ไม่ควรอดอาหารเพื่อหวังจะให้ตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนักลดลงเพียงอย่างเดียวครับ ควรลดอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน โดยเฉพาะ
- น้ำตาล ของหวาน
- ของทอด
- ของมัน
- อาหารที่มีส่วนผสมของ tran fat (เนยเทียม มาการีน ขนมซอง)
นอกจากนี้การทานน้ำตาลมาก ๆ จะทำให้รู้สึกอยากอาหาร อยากกินเยอะ และเกิดการสะสมของไขมันได้ง่าย แนะนำให้หันมาบริโภคอาหารประเภทไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต อะโวคาโด ถั่วและเบอร์รี่ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีงานวิจัยที่พบว่าการสามารถช่วยลดพุง ลดไขมันช่องท้องได้ครับ
ในการลดไขมัน วิธีการควบคุมแคลอรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือทำให้สามารถรับประทานอาหารได้ตามความต้องการของร่างกาย เผาผลาญหมด ไม่มีส่วนที่เหลือไปเป็นไขมันสะสม แต่ข้อเสียคือแต่ละคนและแต่ละวันใช้พลังงานไม่เท่ากัน ผู้ที่ควบคุมอาหารด้วยวิธีนี้ ต้องรู้จักร่างกายตัวเอง และทราบว่าแต่ละวันต้องการพลังงานกี่แคลอรี่ เพื่อจัดการประเภทอาหารอย่างเหมาะสม
การควบคุมอาหารอย่างหนัก และนับแคลอรี่อย่างผิด ๆ นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังทำให้เกิดความเครียด และไม่เป็นผลดีในระยะยาว
3. การทำ IF (Intermittent Fasting)
การทำ IF เพื่อลดน้ำหนัก เป็นการควบคุมแคลอรี่และจำกัดเวลาในการทานอาหาร แต่ทั้งนี้การลดน้ำหนักและการลดไขมันที่ดี ไม่ควรเป็นวิธีที่ทำให้เกิดความเครียด หรือทำจนหักโหมมากเกินไป วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF ต้องใช้วินัยในการทำสูง ด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา (Feeding) และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลา (Fasting) แบ่งเป็นระดับ ดังนี้
- Feeding 8 ชั่วโมง / Fasting 16 ชั่วโมง
- Feeding 5 ชั่วโมง / Fasting 19 ชั่วโมง
- Fasting 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้ง / สัปดาห์ วันอื่น ๆ กินอาหารปกติ
- Fasting 2 วัน กินอาหารปกติ 5 วัน (วันที่กินปกติต้องลดแคลอรี่ลงเหลือ ¼ ที่ได้รับต่อวัน)
- อดเช้า – กินค่ำ (The Warrior Diet) กลางวันดื่มได้แค่น้ำเปล่า และรับอาหารหนักในมื้อค่ำ
- อดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate Day Fasting)
โดยแต่ละคนต้องประเมินถึงความพร้อมของตัวเองก่อนเข้าโปรแกรมแบบต่าง ๆ ซึ่งมีความยากง่ายต่างกันไปครับ ที่ได้รับความนิยมคือแบบที่ 1
ในการทำ IF มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ 3.6-14% ช่วยลดไขมันในช่องท้อง ไขมันในเลือดได้ดี โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำและสมองดีขึ้นได้ด้วย
*การทำ IF ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
4. ควบคุมความเครียด
ความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคอ้วนซึ่งหลายคนมองข้าม โดยความเครียดจะส่งผลต่อพฤติกรรม เมื่อมีความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน Cortisol ออกมา เมื่อหลั่งมากเกินไปจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลและอินซูลินในเลือด ทำให้อยากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ระบบการทำงานของร่างกายผิดเพี้ยน
บางคนจะรู้สึกเบื่อหรืออยากอาหารอยู่ตลอดเวลา มีการรับประทานอาหารมากกว่าปกติ เมื่อเป็นหนักเข้าก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว
สำหรับคนที่มีปัญหาไขมันช่องท้องที่เกิดจากความเครียด ถ้าลดความเครียดได้ ร่างกายกลับมาทำงานเป็นปกติ ก็จะช่วยลดปัญหาไขมันสะสมได้ครับ ในการลดความเครียดเบื้องต้น มีขั้นตอนดังนี้
- วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
- พิจารณาว่าสามารถแก้ไขจากต้นเหตุได้หรือไม่
- หาวิธีผ่อนคลายตัวเอง เช่น หากใจเข้าลึก ๆ, ทำสมาธิ, ดูภาพยนตร์, การฟังเพลง, สร้างอารมณ์ขันและเสียงหัวเรา, คิดบวก
5. หลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนส่งผลอย่างยิ่งต่อระบบเผาผลาญ ขณะนอนหลับร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้สมองระงับความอยากอาหาร กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานขณะนอนหลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่ทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อเอาพลังงานมาใช้ เกิดการต้านทานอินซูลิน ทำให้การเผาผลาญกลูโคสลดลง และเกิดไขมันสะสมได้ง่าย ลดไขมันได้ยาก ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินตามมา
มีงานวิจัยว่าผู้ที่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเลปตินได้น้อย มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคอ้วนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้การลดไขมันช่องท้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การนอนจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันครับ ควรนอนให้เพียงพอตั้งแต่ 7 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดให้อยู่ในระดับปกติ
6. หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และไขมันในช่องท้อง จากประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ลดลง ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน (ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา เพื่อนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน)
ทำให้อ้วนง่ายขึ้น เส้นเลือดอุดตันได้เร็วขึ้น และเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หรือโรคหัวใจ ดังนั้นการลดหรือเลิกการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างปกติ มีการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดปัญหาไขมันในช่องท้องได้
*การสูบบุหรี่มี นิโคติน ทาร์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง มีความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลยก็ตาม
สำหรับวิธีเหล่านี้เป็นการกำจัดไขมันและป้องกันการเกิดไขมันช่องท้องที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวันครับ บางคนอาจต้องใช้เวลาและวินัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ
วิธีลดไขมันในช่องท้อง เร่งด่วน
เนื่องจากเป็นไขมันที่อยู่ภายในช่องท้อง สะสมลงไปลึกใต้ผิวหนัง ไม่สามารถสลายได้โดยตรงทันทีเหมือนไขมันใต้ผิวหนัง การลดไขมันช่องท้องแบบเร่งด่วนค่อนข้างยากครับ ต้องใช้การปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นหลัก
แต่สำหรับใครที่มีปัญหาไขมันสะสม น้ำหนักเกิน สามารถทำร่วมกับวิธีลดไขมันหน้าท้องอย่างเร่งด่วนด้วยการใช้เครื่องมือ หรือการทำหัตถการต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยลดไขมันช่องท้องโดยตรง แต่สามารถช่วยลดไขมันสะสมใต้ผิวหนังได้อย่างเห็นผล ทั้งนี้ควรเลือกวิธีที่มีความปลอดภัย และเหมาะกับสภาพร่างกายครับ
การทำ Coolsculpting
การลดไขมันหน้าท้องด้วย Coolsculpting คือการกำจัดเซลล์ไขมันถาวร โดยปกติเซลล์ไขมันในร่างกายจะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงอายุ 20 ปี และจะไม่เพิ่มขึ้นอีก เวลาที่เราอ้วนหรือผอมจะเกิดจากการที่เซลล์ไขมันขยายตัวหรือฟีบลงครับ
Coolsculpting จึงผลิตขึ้นมาเพื่อลดจำนวนเซลล์ไขมันโดยเฉพาะ (สามารถลดเซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวหนังได้เท่านั้น) โดยการปล่อยความเย็น -11°C แช่แข็งก้อนไขมันที่ถูกดูดขึ้นมานาน 35 นาที เซลล์ไขมันจะตายและถูกสลายไปตามกลไกขับของเสียของร่างกาย หลังจากนั้นเซลล์ไขมันจะไม่เพิ่มขึ้นอีก
เครื่อง Coolsculpting เป็นวิธีสลายไขมันหน้าท้องอย่างเร่งด่วนที่มีความปลอดภัยสูง โดยตัวเครื่องจะแช่แข็งเฉพาะเซลล์ไขมันในชั้นไขมันบริเวณที่ต้องการลด ไม่ทำอันตรายต่อผิวหนังชั้นนอก จะเริ่มเห็นผลว่าชั้นไขมันยุบลงเมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน เห็นผลเต็มที่ใช้เวลา 3 เดือน และสามารถทำเพิ่มได้ในจุดเดียวกันเมื่อผ่านไป 1 เดือนครับ
หมอเขียนอธิบายเกี่ยวกับการทำ Coolsculpting ไว้ในบทความ CoolSculpting คืออะไร ? VS การดูดไขมัน VS การสลายไขมันส่วนเกินด้วยวิธีต่าง ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ครับ
เมโสแฟตสลายไขมัน
เมโสแฟตสลายไขมัน เป็นวิธีสลายไขมันเฉพาะจุดด้วยการฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์สลายไขมันเข้าไปบริเวณที่ต้องการเพื่อช่วยสลายไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน โดยสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น แก้ม เหนียง ต้นแขน หน้าท้อง
ทั้งนี้การฉีดแฟตจะไม่เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมปริมาณมาก เพราะการฉีด 1 ครั้งไขมันจะสลายได้ประมาณ 10-15% ทำให้ต้องทำหลายครั้งถึงเห็นผล ดังนั้นแพทย์อาจแนะนำให้ทำ Coolsculpting สลายไขมันแทนจะเห็นผลที่เร็วและชัดเจนกว่าครับ
การดูดไขมัน
แม้การดูดไขมันดูจะเป็นวิธีกำจัดไขมันที่เห็นผลเร็ว แต่ไม่สามารถช่วยลดไขมันในช่องท้องได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากไขมันในจุดนี้จะติดกับลำไส้ และอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ถ้าดูดออกจะส่งผลอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ ส่วนที่ดูดออกได้จะมีเพียงไขมันหน้าท้องบริเวณใต้ผิวหนังเท่านั้นครับ
นอกจากนี้การดูดไขมันหน้าท้องถือเป็นการผ่าตัดขนาดเล็กอาจต้องฉีดยาชาในปริมาณมาก หรือในบางเคสต้องใช้ยาสลบ หลังทำมีแผลขนาดเล็ก เสี่ยงต่ออาการบวมช้ำ จึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้น หรือกลัวเจ็บครับ
สรุปไขมันช่องท้อง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามก่อนสายเกินแก้
ไขมันช่องท้อง เป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้ามครับ นอกจากจะทำให้หุ่นไม่สวย ลงพุง พุงย้อย ไขมันเหล่านี้ยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่อันตราย ควรหาวิธีป้องกันและวิธีลดไขมันช่องท้องที่ยั่งยืน เพื่อรักษาทั้งสุขภาพและรูปร่างของตัวเองครับ
อ้างอิง
- https://planning.anamai.moph.go.th/th/ebudget-doc1/download?id=111007&mid=38515&mkey=m_document&lang=th&did=33249
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24147-visceral-fat